Saturday, 20 March 2010

♣ สุดยอดอาหาร...ป้องกันโรค ♣


อาหารใช่แค่เพียงอร่อย แต่ยังช่วยดูแลสุขภาพคุณได้มากกว่าที่คิด และนี่คือสุดยอดอาหารสำหรับคุณ


You are What You Eat..... กินอย่างไรก็ได้ (สุขภาพ) อย่างนั้น ประโยคนี้ยังใช้ได้ผลเสมอโดยเฉพาะกับยุคนี้ที่มีอาหารปรุงแต่งมากมาย แต่ถึงอย่างไรก็คงสู้อาหารธรรมชาติไม่ได้หรอก หากเราสังเกตสุขภาพตัวเองและคนใกล้ตัวให้ดีละก็จะรู้ว่าอาหารมีผลต่อสุขภาพจริงๆ เช่น คนที่รับประทานแต่พิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ มันฝรั่งทอด หรืออาหารฟาสต์ฟู๊ด เป็นประจำมักป่วยบ่อย แต่ถ้าใครที่รับประทานผักผลไม้ เนื้อสัตว์ และปลาอย่างสม่ำเสมอโดยมีความสมดุลกัน ก็จะช่วยให้ร่งกายแข็งแรง สุขภาพดี ดังนั้น ดร.เพเตอร์ ชไลเดอร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการชาวเยอรมันจึงได้จัดลำดับอาหารที่มีประโยชน์ที่สุดต่ออวัยวะต่างๆในร่างกายดังนี้


ดวงตา

- สับปะรด มีเอนไซม์มากมายที่จะช่วยผ่อนคลายสายตาหลังนั่งทำงานมาทั้งวัน

- โรสแมริน ช่วยทำความสะอาดและช่วยให้เลือดไหลเวียนดีที่ดวงตา

- เก๋ากี้ มีกรดอะมิโน 18 ชนิด และแร่ธาตุที่สำคัญๆเช่น สังกะสี เหล็ก ทองแดง แคลเซียม เจอร์มาเนียม ซีลีเนียม และฟอสฟอรัส นอกจากนี้ยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ มากมายมีสรรพคุณในการช่วยบำรุงสายตา กล่อมประสาทให้หลับสบาย ช่วยลดอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืดตาลาย สายตาไม่ดี โดยเฉพาะสายตาบอดในเวลากลางคืน ฯลฯ


สมอง

- ถั่ว Linsen มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และเลซิติน ให้พลังงานแก่เซลล์สมองถั่วลินเซ็นมีขายตามร้านขายอาหารอินเดียและเป็นอาหารที่ชาวเยอรมันและชาวสวิตเซอร์แลนด์นิยม นำทำมาเป็นซุปรับประทานกัน

- สัตว์ปีก ให้พลังงานแก่การทำงานของสมอง

- ข้าวโอ๊ต ให้พลังงานสูงที่สุดสำหรับสมอง นอกจากนี้ ยังมีกรดฟีนอลที่จะช่วยในเรื่องของความทรงจำที่ดีอีกด้วย

- อะโวคาโด มีวิตามินบีสูง เหมาะสำหรับคนที่มีความเครียด นอนไม่หลับหรือจิตใจว้าวุ่น

- กล้วย มีฮอร์โมนสำหรับเส้นประสาทในสมอง มีน้ำตาลกลูโคส วิตามิน และเกลือแร่ในการให้ พลังงานแก่สมอง- แอพริคอต (Apricot) มีแร่ธาตุจำเป็น

Wednesday, 17 March 2010

ลำคออวบอ้วน เพิ่มเสี่ยงโรคหัวใจ

ชี้ความหนาของ "ลำคอ" อาจเป็นตัวบ่งบอกความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้เช่นเดียวกับความหนาของรอบเอว แม้ในคนที่มีรอบเอวบาง แต่ถ้าลำคอใหญ่อวบอ้วน ก็มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจมากขึ้น
นักวิจัยจากสถาบันศึกษาหัวใจ "ฟรามิงแฮม" ในสหรัฐ ศึกษาเรื่องนี้กับชายหญิงกว่า 3,300 คน ซึ่งมีอายุเฉลี่ย 51 ปี โดยผู้ชายจะมีรอบคอเฉลี่ยอยู่ที่ 40.5 เซนติเมตร ส่วนของผู้หญิงเฉลี่ยอยู่ที่ 34.2 เซนติเมตร แต่ถ้าใครมีรอบคอใหญ่กว่านี้หมายถึงความเสี่ยงที่มากขึ้นในการเป็นโรคหัวใจ
ความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจเกิดจากร่างกายมีระดับกลูโคสในเลือดสูงและมีคอเลสเตอรอลชนิดดีน้อยเกินไป เพราะคอเลสเตอรอลชนิดดี ซึ่งมีความหนาแน่นสูง เรียกว่า HDL จะช่วยดึงไขมันส่วนเกินจากเซลล์ต่างๆ แล้วส่งกลับไปที่ตับ เปลี่ยนสภาพไขมันคอเลสเตอรอลให้กลายเป็นน้ำดีเพื่อใช้ย่อยไขมันต่อไป
ผลการศึกษาพบว่า ผู้ชายจะมีระดับคอเลสเตอรอลชนิดดีในกระแสเลือดลดลง 2.2 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร ส่วนผู้หญิงจะมีน้อยลง 2.7 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร ถ้ามีรอบคอเพิ่มจากระดับเฉลี่ยทุกๆ 3 เซนติเมตร และถ้าผู้ชายมีระดับคอเลสเตอรอลชนิดดีไม่ถึง 40 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร ส่วนผู้หญิงมีไม่ถึง 50 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร จะหมายถึงความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ขนาดของลำคอจะไม่มีผลใดๆ ทั้งสิ้นต่อระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ซึ่งมีลักษณะโครงสร้างใหญ่และความหนาแน่นต่ำ จึงเรียกว่า LDL เป็น คอเลสเตอรอลที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่ขนาดรอบคอจะไปส่งผลต่อระดับกลูโคสในเลือดด้วยเช่นกัน โดยรอบคอที่ใหญ่กว่าระดับเฉลี่ยทุกๆ 3 เซนติเมตร จะส่งผลให้ผู้ชายมีกลูโคสในเลือดเพิ่มขึ้น 3 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร ส่วนของผู้หญิงจะเพิ่มขึ้น 2.1 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร
ตามปกติ ระดับกลูโคสในเลือดจะมีไม่ถึง 100 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร ถ้าระดับกลูโคสมากกว่านี้ จะหมายถึงความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจมีเพิ่มขึ้นด้วย ผลการวิจัยนี้จึงชี้ให้เห็นว่าไขมันที่สะสมตามอวัยวะภายนอกร่างกายในบางส่วน นั้นช่วยบ่งชี้ความเสี่ยงการป่วยเป็นโรคหัวใจได้
http://www.thaihealth.or.th/node/8448

ประโยชน์ของมะระ


ก็อย่างที่โบราณเค้าว่ากันว่า หวานเป็นลมขมเป็นยา สิ่งที่น่าคิดก็คือ ทำไมของที่มีประโยชน์ส่วนใหญ่มักจะมีรสชาติที่ไม่น่ารับประทาน ไม่อร่อยลิ้นเอาเสียเลย ก็อย่างเช่นเจ้ามะระนี่หล่ะค่ะ ที่มีรสชาติขมซะจนไม่อยากจะรับประทาน ภายใต้หน้าตาที่อัปลักษณ์ของมัน ถึงเวลาแล้วที่เราจะหันมาปฏิวัติการกินเสียใหม่นะคะ ชาวเอเซียรู้จักกันดีถึงสรรพคุณของมะระ แต่ชาวฝั่งตะวันตกกลับกลัวที่จะกินมัน ทั้งที่ยังไม่รู้ประโยชน์ที่แสนจะอัศจรรย์ของมันแม้แต่น้อย เรามาดูประโยชน์ของมะระกันเลยดีกว่านะคะ

อย่างแรกเลย คือ ความขมของมะระนั้นสามารถช่วยให้เราเจริญอาหาร เพราะสารขมที่อยู่ในมะระนั้นจะช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อย ออกมามากจึงทำให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น ซึ่งเราอาจจะนำมะระไปลวก หรือเผาไฟจิ้ม แล้วนำมาจิ้มกับน้ำพริกก็ได้นะคะ

ต่อมา..ก็คือ คุณสมบัติในการการบำบัดและรักษาโรคเบาหวานระยะเริ่มต้นด้วยสารอาหารในมะระ ซึ่งทำหน้าที่เพิ่มเบต้าเซลล์ในตับอ่อน โดยการกระตุ้นให้เกิดการสร้างอินซูลิน (ฮอร์โมนควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด) อีกทั้งมะระยังมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต สารอาหารจะผสมอยู่ในรูปของโปรตีน ซึ่งสามารถบรรเทาอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากโรคตับและโรคเบาหวานได้ มะระยังสามารถแก้โรคตับอักเสบ ปวดหัวเข่า ม้านอักเสบได้ค่ะ โดยรับประทานมะระดิบเป็นประจำจะช่วยได้ค่ะ

นอกจากนี้มะระยังมีคุณค่าทางอาหารมากมาย เพราะอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี วิตามินบี๑ - บี๓, เบต้าแคโรทีน, ไฟเบอร์, ธาตุเหล็ก, โพแทสเซียม, เป็นต้น

เมนูอาหารจากมะระ ได้แก่ ต้มจืดมะระยัดไส้, มะระต้มจับฉ่าย, ผัดะมะระหมูสับ, มะระผัดกุ้ง, มะระผัดน้ำมันหอย เป็นต้น หากจะลดความขมของมะระต้องลวกหรือต้มนานๆ โดยคลุกเคล้ากับเกลือก่อนที่จะนำไปปรุง หรือต้มน้ำแล้วเทน้ำทิ้ง ๑ ครั้ง ก่อนนำมารับประทาน จะช่วยให้กินมะระได้อย่างสบายใจ

แถมท้ายอีกนิดนะคะ ด้วยข้อควรระวัง เราทานมะระที่ดิบๆ กันได้ แต่ห้ามรับประทานมะระที่มีผลสุกนะคะ เพราะอาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียนได้ค่ะ เนื่องจากมีสารซาโปนินอยู่มากซึ่งสารนี้จะทำให้เป็นพิษต่อร่างกายค่ะ อีกอย่างอย่าทานมะระมากจนเกินไปนะคะ เพราะจะทำให้ท้องเสีย เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาระบายโอโห้!!! ไม่น่าเชื่อเลยนะค่ะ ว่ามะระที่มีรสชาติที่ขม ไม่น่ารับประทาน ที่ใครหลายคนไม่ชอบรับประทานกันนั้น จะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายจนเราคาดไม่ถึงขนาดนี้ ดังนั้นเราควรจะหันมารับประทานมะระกันบ้างนะค่ะ จะได้มีสุขภาพที่ดีกันนะคะ

ที่มา www.junjaowka.com

'คาราโอเกะ' มีที่มาจากไหน

จากนิตยสาร "นิปโปะเนีย" ของญี่ปุ่น คาราโอเกะ เป็นคำย่อมาจาก "คะระ" หมายถึง ว่างเปล่า ปราศจากเสียง และ "โอเกะ" มาจากออร์เคสตร้า พอบวกกัน คาราโอเกะกลายเป็นศัพท์เทคนิค ก็หมายถึงดนตรีประกอบสำหรับนักร้องอาชีพเวลาอัดเสียง ซึ่งต่อมาพัฒนาให้นักร้องสมัครเล่นอย่างเราๆ ใช้ได้อย่างง่ายดาย ช่วงเวลาพัฒนาดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี 2513 โดยชายชาวญี่ปุ่นชื่ออิโนะอุเอะ ไดสุเกะ นักเล่นคีย์บอร์ดและไวบราโฟน ซึ่งเล่นดนตรีอยู่ที่บาร์แห่งหนึ่งในเมืองโกเบ อยู่มาวันหนึ่งมีลูกค้ามาขอให้อิโนะอุเอะ เดินทางไปช่วยเล่นดนตรีให้ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง แต่อิโนะอุเอะงานยุ่งมาก ไม่สะดวกเดินทางไปด้วย จึงบันทึกเสียงดนตรีประกอบลงบนม้วนเทป และมอบให้ลูกค้าคนนั้นไปเปิดร้องเอาเอง ปรากฏว่าผลออกมาเป็นที่พอใจมาก เพราะอิโนะอุเอะจงใจบันทึกเสียงดนตรีให้ผิดจังหวะให้เข้ากับการร้องเพลงที่หลงคีย์หลงจังหวะของลูกค้าคนนั้น จากนั้นอิโนะอุเอะจึงร่วมมือกับเพื่อนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอิเล็กทรอนิกส์ ช่างไม้ และช่างทำเครื่องประดับบ้านเพื่อประดิษฐ์เครื่องคาราโอเกะขึ้นมา มีไมโครโฟนและอุปกรณ์ทำเสียงก้อง เรียกว่า "8-Juke" เมื่อหยอดเหรียญ 100 เยนเข้าไปในตู้ เพลงประกอบก็จะดังขึ้นทันที ตอนแรกทีมงานผลิตออกมาเพียง 11 เครื่อง แต่ด้วยความนิยมที่พุ่งพรวดอย่างรวดเร็ว จึงต้องเพิ่มอีก 10,000 เครื่อง ขณะที่ร้านขายแผ่นเสียงและนักธุรกิจอื่นๆ ก็ทำตามผลิตกันเกลื่อนกลาดไปทั่ว จนคาราโอเกะกลายเป็นสิ่งยอดนิยมในนครโอซาก้า จากนั้นจึงกระจายไปทั่วโลก รวมถึงที่เมืองไทยด้วย

Friday, 12 March 2010

เตือนภัย : สารดูดความชื้นในซองอาหาร


อะไรเอ่ย เม็ดเล็ก ๆ กลม ๆ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น มักพบในซองขนม หรืออาหาร
เฉลย “สารดูดความชื้น”
ทำไม ? ในซองขนม กระป๋องลูกอมหรือถุงอาหารรับประทานเล่นถึงมี“สารดูดความชื้น” อยู่ในนั้น
โดยทั่วไปมักพบ “สารดูดความชื้น” ในหีบห่อสินค้า หรืออาหารประเภทขนมบรรจุห่อสารดูดความชื้นนั้นมีหลายประเภท แต่ที่นิยมให้กันมากคือ “ซิลิก้าเจล” ซึ่งสกัดจากทรายขาวผสมกรดกำมะถัน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ซิลิกอนไดออกไซด์ มีลักษณะเป็นเม็ดกลม มีหลายสี
“ความชื้น” นั้นก่อปัญหาให้แก่สินค้าหลายประเภท เช่น
“ยา” หากได้ความชื้นจะทำให้มีคุณสมบัติเปลี่ยนไป
“เฟอร์นิเจอร์เครื่องหนัง” เมื่อได้รับความชื้นจะทำให้เสียรูปทรง และทำให้เกิดเชื้อราได้ง่าย
“อาหาร” ที่ต้องการรักษาสภาพความกรอบหากได้รับความชื้นคุณสมบัติข้อนี้จะสูญเสียไป
ทั้งนี้แม้ “สารดูดความชื้น” จะมีประโยชน์แก่อุตสาหกรรมหลายประเภท แต่ผู้ที่ใช้สารดูดความชื้นนี้กับสินค้าของตน ก็ต้องบรรจุสารดูดความชื้นในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดสนิท และต้องมีข้อความแสดงว่า “ห้ามรับประทาน” ปรากฏอยู่ด้วย แม้จะมีข้อความห้ามรับประทานระบุไว้ ผู้บริโภคก็ยังต้องพึงระวัง เนื่องจากผู้บริโภคที่เป็นเด็กเล็ก ๆ มักจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยอาจลองรับประทานหรือนำมาเล่น โดยไม่รู้ถึงพิษภัยที่จะเกิดขึ้น
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ปกครองรายหนึ่งซึ่งบุตรของผู้ร้องเรียนวัยเพียงขวบเศษถูก “สารดูดความชื้น” ที่เด็กแถวบ้านนำซอง“สารดูดความชื้น” ที่อยู่ในถุงขนมมาปาเล่นกัน แล้วซองบรรจุสารดูดความชื้นแตก “ซิลิก้า เจล”ที่บรรจุในซองกระเด็นเข้าไปในตาของบุตร ผู้ร้องเรียนซึ่งนั่งเล่นอยู่ที่บริเวณใกล้เคียง เด็กน้อยร้องไห้และเจ็บนัยน์ตามาก เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์แจ้งว่าตาข้างที่ถูกสารดูดความชื้นกระเด็นเข้าไปนั้นบอดไม่สามารถรักษาได้ทันโดยแพทย์ชี้แจงในเบื้องต้นว่า “สารดูดความชื้น” นั้นเข้าไปทำปฏิกิริยากับดวงตา (โดยในตาจะมีนา้ํ หล่อเลี้ยง) เป็นผลให้ตาข้างซ้ายบอดความเสียหายที่เกิดขึ้นในกรณีนี้จัดว่ารุนแรงมากในขณะที่สังคมไม่ได้ให้ความสำคัญหรือมีการเตือนภัยที่รัดกุมกว่านี้
ข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ)

รักษาดวงตาเมื่อต้องอยู่หน้าคอม

"เคล็ดลับเพื่อตาคู่สวย"

"เคล็ดลับเพื่อตาคู่สวย"คุณเคยรู้สึกเมื่อล้าดวงตา เนื่องจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ หรือไม่ เชื่อว่าสาวออฟฟิศส่วนใหญ่ต้องเคยสัมผัสกับอาการเหล่านั้นแน่นอน ซึ่งวันนี้เราก็มีเคล็บลับสำหรับผู้ที่ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์มาฝาก เพื่อรักษาดวงตาคู่สวยของคุณให้ใสปิ๊งอยู่ตลอด

1. หมั่นกระพริบตาให้บ่อยขึ้น อาการตาแห้งเกิดจากเมื่อเรามีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกระพริบตาจะลดลงจาก 20-22ครั้ง ต่อนาที เหลือเพียง 6-8 ครั้ง ต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ก็ต้องกระพริบตาบ่อยขึ้น

2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ปรับความสูงของจอให้เหมาะสม โดยระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเรา ควรอยู่ระหว่าง 20-28 นิ้ว หรือประมาณ 1 ช่วงแขน จุดศูนย์กลางของคอมพิวเตอร์ควรอยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4-9 นิ้ว ไม่ควรอยู่สูงหรือต่ำกว่านี้มากนัก และควรจะตั้งตรงหน้า ตำแหน่งการวางคอมพิวเตอร์ควรจะให้หน้าต่างอยู่ด้านข้างของโต๊ะ เพื่อป้องกันไม่ให้แสงตกสะท้อนหน้าจอ
"ถนอมสายตา"

3. ปรับตัวอักษรให้ใหญ่ขึ้น

4. เลือกแว่นที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ ควรใช้เลนส์สีชมพูอ่อน จะช่วยให้สบายตาขึ้นภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ สำหรับคนที่ใส่แว่นควรปรึกษาจักษุแพทย์

5. เบรกซะบ้าง ทุกๆชั่วโมง ควรลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายสัก 10 นาที เพื่อพักสายตา และป้องกันไม่ให้เกิดความเมื่อยล้า

6. เปลี่ยนจอใหม่ เลือกใช้จอชนิดLCD (จอแบน) แม้ราคาจะแพงกว่าจอธรรมดา (CRT) แต่ช่วยถนอมตาได้มาก

Wednesday, 10 March 2010

ส่งการบ้านฏิบัติการที่ 8

ข้อที่ 30

แนะนำหนังสืออ่าน: Google Maps มหัศจรรย์แผนที่ออนไลน์


หนังสือเล่มแรกและเล่มเดียวที่เจาะลึกการใช้งาน Google Maps สุดยอดแผนที่ออนไลน์ ที่ใช้งานจริงในชีวิตประจำวันและธุรกิจได้มากกว่าเครื่องมือตัวใดๆ ปักหมุดให้กับสถานที่และธุรกิจเพื่อการเดินทางและการประชาสัมพันธ์ ง่ายๆ กับการต่อยอดจากแผนที่บนปลายนิ้วของคุณ ที่ทำให้คุณได้เปรียบทุกคู่แข่ง จากเครื่องมือฟรีๆ ของ Googleหนึ่งในหนังสือชุด Google Power
Google Maps มหัศจรรย์แผนที่ออนไลน์ สารพัดวิธีใช้งานสุดยอดแผนที่ของ Google เพื่อความสะดวกสบายและการประยุกต์ใช้งานทางธุรกิจ
หนังสือที่เจ้าของธุรกิจท่องเที่ยว หอพัก ร้านอาหาร อสังหาริมทรัพย์ โลจิสติกส์ และการสื่อสาร ห้ามพลาด!
หนังสือที่นักเดินทาง นักท่องเที่ยว คนขับรถ คนนั่งข้างคนขับ และคนที่หลงทางเป็นประจำ ต้องอ่าน!
เขียนโดย อภิศิลป์ ตรุงกานนท์

Google Maps มหัศจรรย์แผนที่ออนไลน์ สารพัดวิธีใช้งานสุดยอดแผนที่ของ Google เพื่อความสะดวกสบายและการประยุกต์ใช้งานทางธุรกิจ
หนังสือสอนการใช้งานแผนที่ออนไลน์ Google Maps ที่มีเนื้อหาครอบคลุมทั้งการใช้งานส่วนตัวและการใช้งานเพื่อธุรกิจ เนื้อหาในหนังสือประกอบด้วย การค้นหาแผนที่ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย เทคนิคการใช้คำค้นเพื่อค้นหาแผนที่ของ 76 จังหวัดทั่วไทย
การค้นหาเส้นทางการเดินทางที่ช่วยให้คุณประหยัดเวลาในการเดินทางมากที่สุด
การใช้แผนที่บนโทรศัพท์มือถือ PDA และ iPhone เพื่อช่วยให้คุณไม่หลงทางไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของประเทศ
สารพัดข้อมูลและเครื่องมือเพื่อใช้ควบคู่กับแผนที่ เช่น ข้อมูลรายงานสภาพอากาศ ข้อมูลเหตุการณ์แผ่นดินไหว เครื่องมือวัดระยะห่าง และเครื่องมือรังวัดพื้นที่ เป็นต้น
การปักหมุดเพื่อประชาสัมพันธ์สถานประกอบการทางธุรกิจของคุณให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
การนำแผนที่ Google Maps มาใส่ไว้ในเว็บไซต์หรือบล็อกของคุณ
กรณีศึกษาเว็บไทย 3 แห่งที่ใช้ประโยชน์จาก Google Maps ได้แก่ ThaiKarateDo.com, ThaiMazda3.com และ Kapook.com
คำนำ
Google เป็นบริษัทไอทีที่มีความร้อนแรงและถูกกล่าวถึงอย่างมากในยุคนี้ ด้วยบริการบนอินเทอร์เน็ตที่มีคุณภาพดี และที่สำคัญก็คือให้ใช้ได้ฟรีๆ จึงทำให้ Google กลายเป็นขวัญใจนักท่องเน็ตทั่วทั้งโลก
ในปี 2004 Google ได้เข้าซื้อกิจการบริษัท Keyhole, Inc. ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนาซอฟท์แวร์ Earth Viewer ซอฟท์แวร์ตัวนี้ถูก Google เปลี่ยนชื่อเป็น Google Earth ในปี 2005 และเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้ฟรี ซอฟท์แวร์ Google Earth ช่วยให้ผู้คนทั่วโลกได้เห็นภาพถ่ายดาวเทียมของพื้นที่ทุกจุดบนโลกนี้ จนเกิดวัฒนธรรมการมองหาหลังคาบ้านตัวเอง
อย่างไรก็ตาม การจะใช้ Google Earth ได้นั้น ผู้ใช้จะต้องดาวน์โหลดโปรแกรมที่มีขนาดมากกว่า 10 เมกะไบต์ มาติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อน และโปรแกรมก็ค่อนข้างสิ้นเปลืองทรัพยากรของคอมพิวเตอร์มาก การใช้ Google Earth จึงอาจจะไม่เหมาะสำหรับมือสมัครเล่นที่ต้องการเพียงแค่ค้นหาสถานที่ที่กำลังจะเดินทางไป
Google มองเห็นปัญหานี้ จึงได้ออกบริการอีกตัวหนึ่งที่มีความคล้ายคลึงกับ Google Earth ซึ่งก็คือบริการที่ชื่อ Google Maps โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องดาวน์โหลดโปรแกรมใดๆ เลย เพียงแค่ใช้โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ที่ใช้เป็นประจำอยู่แล้ว ก็สามารถมองหาหลังคาบ้านของตัวเอง ค้นหาสถานที่ที่ต้องการ ค้นหาเส้นทางการเดินทาง รวมถึงการปักหมุดให้กับสถานที่ต่างๆ ได้ ไม่ต่างอะไรกับการใช้ Google Earth
แต่ที่เหนือไปกว่านั้นก็คือ Google เปิดโอกาสให้เจ้าของเว็บไซต์หรือบล็อกสามารถนำแผนที่ของ Google Maps ไปใส่ในเว็บของตัวเองได้ฟรี รวมถึงสามารถนำแผนที่มาพัฒนาต่อยอดเป็น web application ต่างๆ ได้มากมาย
สำหรับคนไทยแล้ว ก่อนหน้านี้บริการ Google Maps คงไม่เป็นที่นิยมนัก จนเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2007 ที่ Google ประกาศว่าได้นำข้อมูลแผนที่ของประเทศไทยใส่ลงไปใน Google Maps แล้ว แถมแผนที่ที่อยู่บน Google Maps ยังเป็นภาษาไทยเสียด้วย นั่นจึงเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้ผู้ใช้ชาวไทยสามารถใช้ประโยชน์จาก Google Maps ได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานส่วนตัวอย่างเช่นการค้นหาสถานที่ หรือการหาเส้นทางการเดินทาง ไปจนถึงการใช้งานในทางธุรกิจ ทั้งการประชาสัมพันธ์สถานประกอบการทางธุรกิจ หรือใช้ในงานโลจิสติกส์ เป็นต้น
หนังสือ Google Maps มหัศจรรย์แผนที่ออนไลน์ เล่มนี้จะพาผู้อ่านทุกท่านไปรู้จักกับบริการ Google Maps ในทุกแง่มุม เพื่อให้ท่านสามารถใช้ประโยชน์จากแผนที่ Google Maps ได้จริง และยังมีกรณีศึกษาของคนไทยที่นำ Google Maps ไปใช้งานในชีวิตจริงอีกด้วย
หวังว่าทุกท่านจะสนุกและได้ประโยชน์จากการอ่านหนังสือเล่มนี้นะครับ
อภิศิลป์ ตรุงกานนท์http://blog.macroart.net
สารบัญ
บทที่ 1 – รู้จัก Google Maps
Google Maps คืออะไร?
พื้นที่ที่บริการของ Google Maps ครอบคลุม
แหล่งที่มาของข้อมูลแผนที่บน Google Maps
เว็บบราวเซอร์ที่สามารถใช้ Google Maps ได้
Google Ride Finder และ Google Transit
บทที่ 2 – ท่องโลกกว้างด้วย Google Maps
องค์ประกอบของ Google Maps
วิธีการควบคุมการแสดงผลแผนที่
การใช้งานแผนที่ Google Maps
การค้นหาที่อยู่
การค้นหาชื่อถนนและสี่แยก
การค้นหาชื่อสถานที่
การค้นหาโดยระบุพิกัด
การค้นหาสถานประกอบการทางธุรกิจ
การค้นหาสถานที่ที่ชุมชนผู้ใช้เป็นผู้ป้อนข้อมูลเข้าไปการค้นหาจังหวัดในประเทศไทย
แบบฝึกหัดท้ายบท
บทที่ 3 – ใช้ Google Maps ในชีวิตประจำวัน
วางแผนก่อนขับรถด้วย Driving Direction
ใช้ Street View… อย่างไรก็ไม่หลง
ตรวจสอบเส้นทางรถติดด้วย Traffic
Google Mobile Maps พกแผนที่ไว้ในโทรศัพท์มือถือ
แบบฝึกหัดท้ายบท
บทที่ 4 – Google Maps Content รวมสุดยอดข้อมูลและเครื่องมือน่าใช้
วิธีค้นหาข้อมูลและเครื่องมือที่ต้องการ
Live Weather Conditions from WeatherBonk รายงานสภาพอากาศทั่วโลก
Real-time Earthquakes (USGS) ตามติดเหตุการณ์แผ่นดินไหว
Search Hotels – HOTELS.COM หาโรงแรมให้ถูกใจ
Wikimapia layer beta ข้อมูลสถานที่ทั่วโลก
Position Finder รู้พิกัดละติจูด/ลองจิจูด เพียงแค่คลิก
Distance Measurement Tool ไม้บรรทัดวัดระยะห่าง
Large Area Measure รังวัดที่ดินออนไลน์
แบบฝึกหัดท้ายบท
บทที่ 5 – สร้างแผนที่ส่วนตัว เพื่อประโยชน์ส่วนรวม
เริ่มต้นสร้างข้อมูลแผนที่
ปักหมุดบอกสถานที่
ลากเส้นบอกสถานที่
วาดรูปทรงบอกสถานที่
การค้นหาข้อมูลสถานที่ที่สร้างขึ้น
ตกแต่งรายละเอียดของสถานที่ให้สวยงาม
การใส่รูปภาพของสถานที่
การใส่วิดีโอของสถานที่
นำแผนที่ที่สร้างขึ้นไปใส่ในเว็บของคุณ
เปิดดูแผนที่ที่สร้างขึ้นใน Google Earth
เพิ่มข้อมูลลงใน WikiMapia
แบบฝึกหัดท้ายบท
บทที่ 6 – ใช้ Google Maps ร่วมกับบริการอื่นของ Google
ส่งบัตรเชิญพร้อมแผนที่ด้วย Google Calendar
ใช้ Picasa ติดรูปถ่ายท่องเที่ยวบนแผนที่
แบบฝึกหัดท้ายบท
บทที่ 7 – กรณีศึกษาคนไทยใช้ Google Maps
การประยุกต์ใช้ Google Maps กับการเรียนการสอนคาราเต้
กรณีศึกษาชมรมรถยนต์มาสด้า 3 ประเทศไทย กับการใช้ Google Maps เพื่อให้ข้อมูลศูนย์บริการแก่สมาชิก
กรณีศึกษาการใช้ Google Maps เพื่อสร้างบริการที่แปลกใหม่ในเว็บไซต์ Kapook.com
แบบฝึกหัดท้ายบทที่จำลองการใช้งาน Google Maps จากสถานการณ์จริง เช่น การค้นหาร้านอาหารในพื้นที่ที่ต้องการ การวางแผนเส้นทางการเดินทางไปต่างจังหวัด การประมาณการค่าใช้จ่ายของพนักงานบริษัทที่ต้องขับรถเพื่อตรวจงานตามไซต์งานหรือเพื่อพบลูกค้า การวางแผนติดตั้งเครื่องรับส่งสัญญาณเพื่อการสื่อสาร การคำนวณจุดคุ้มทุนของกิจการขนส่ง การประชาสัมพันธ์สถานประกอบการทางธุรกิจ เป็นต้น

สรุปเนื้อหาในแต่ละบท
บทที่ 1 เริ่มทำความรู้จักกับ Google Maps พื้นที่ให้บริการที่ Google Maps ครอบคลุม เว็บบราวเซอร์ที่สามารถใช้งานได้ เป็นต้น
บทที่ 2 การใช้งานแผนที่ การค้นหาสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงการค้นหาแผนที่ของ 76 จังหวัดทั่วไทย เนื่องจาก Google Maps ยังไม่สามารถค้นหาชื่อจังหวัดเป็นภาษาไทยได้ ถ้าจะหาแผนที่ของกรุงเทพมหานคร ก็จะต้องค้นด้วยคำว่า Bangkok แต่ถ้าต้องการค้นหาแผนที่ของ จ.พระนครศรีอยุธยา จะต้องค้นด้วยคำว่าอะไร? หาคำตอบได้ในบทนี้
บทที่ 3 นำ Google Maps มาใช้ในชีวิตจริง ค้นหาเส้นทางขับรถจากบางแคไปสุขุมวิท จากกรุงเทพไปแม่ฮ่องสอน หรือจากประเทศไทยไปมาเลเซีย และการใช้งาน Google Maps บนโทรศัพท์มือถือ PDA หรือ iPhone
บทที่ 4 ใช้ข้อมูลและเครื่องมือต่างๆ เพื่อตรวจสอบสภาพอากาศในแต่ละพื้นที่ วัดระยะห่างของสถานที่ รังวัดพื้นที่ เป็นต้น
บทที่ 5 ปักหมุดแผนที่เพื่อโปรโมทธุรกิจของคุณให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ทั้งการปักหมุดใน Google Maps และใน WikiMapia
บทที่ 6 ใช้งาน Google Maps ร่วมกับ Google Calendar เพื่อการส่งแผนที่แนบไปกับการ์ดเชิญ และใช้ร่วมกับ Picasa เพื่อบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางด้วยรูปภาพที่ติดอยู่บนแผนที่
บทที่ 7 กรณีศึกษาของจริงจากคนไทยที่ใช้ Google Maps อย่างเป็นเรื่องเป็นราว

เฉลยแผบบฝึกหัดท้ายบท
http://blog.macroart.net/2007/12/google-maps-solution.html (ต้องใช้รหัสผ่านจากหนังสือ)
การซื้อหนังสือ
ซื้อได้จากร้านซีเอ็ด และร้านหนังสือชั้นนำ
ซื้อตรงจากผู้เขียนได้ที่ http://blog.macroart.net/buy-book

Adobe Dreamweaver

อะโดบี ดรีมวีฟเวอร์ (Adobe Dreamweaver) หรือชื่อเดิมคือ แมโครมีเดีย ดรีมวีฟเวอร์ (Macromedia Dreamweaver) เป็นโปรแกรมแก้ไข HTML พัฒนาโดยบริษัทแมโครมีเดีย (ปัจจุบันควบกิจการรวมกับบริษัท อะโดบีซิสเต็มส์) สำหรับการออกแบบเว็บไซต์ในรูปแบบ WYSIWYG กับการควบคุมของส่วนแก้ไขรหัส HTML ในการพัฒนาโปรแกรมที่มีการรวมทั้งสองแบบเข้าด้วยกันแบบนี้ ทำให้ ดรีมวีฟเวอร์เป็นโปรแกรมที่แตกต่างจากโปรแกรมอื่นๆ ในประเภทเดียวกัน ในช่วงปลายปีทศวรรษ 2533 จนถึงปีพ.ศ. 2544 ดรีมวีฟเวอร์มีสัดส่วนตลาดโปรแกรมแก้ไข HTML อยู่มากกว่า 70%
ดรีมวีฟเวอร์มีทั้งในระบบปฏิบัติการแมคอินทอช และไมโครซอฟท์วินโดวส์ ดรีมวีฟเวอร์ยังสามารถทำงานบนระบบปฏิบัติการแบบยูนิกซ์ ผ่านโปรแกรมจำลองอย่าง WINEได้ รุ่นล่าสุดคือ ดรีมวีฟเวอร์ CS4
อนึ่ง คำว่า Dreamweaver หรือ ดรีมวีฟเวอร์ หมายถึง ทอฝัน หรือ สานฝัน ในภาษาอังกฤษ
การทำงานกับภาษาต่างๆ
ดรีมวีฟเวอร์ สามารถทำงานกับภาษาคอมพิวเตอร์ในการเขียนเว็บไซต์แบบไดนามิค ซึ่งมีการใช้ HTML เป็นตัวแสดงผลของเอกสาร เช่น ASP, ASP.NET, PHP, JSP และ ColdFusion รวมถึงการจัดการฐานข้อมูลต่างๆ อีกด้วย และในเวอร์ชันล่าสุด (เวอร์ชัน 8) ยังสามารถทำงานร่วมกับ XML และ CSS ได้อย่างง่ายดาย

มุมมองในการทำงานกับ ดรีมวิฟเวอร์
มุมมองแบบ Code
มุมมองแบบ split
มุมมองแบบ Design

การจัดการไฟล์
ดรีมวีฟเวอร์ยังสามารถทำงานในการจัดการไฟล์ได้ ทั้งจัดการไฟล์ภายในเว็บไซต์ของตน หรือจัดการเว็บไซต์บนเซิร์ฟเวอร์ ผ่าน FTP

รุ่นต่างๆ
Dreamweaver 1.0 (ธันวาคม ค.ศ. 1997) เป็นเวอร์ชันแรกสำหรับระบบปฏิบัติการ MAC OS
Dreamweaver 1.2 (มีนาคม ค.ศ. 1998) เป็นเวอร์ชันแรกสำหรับระบบปฏิบัติการ Windows
Dreamweaver 2.0 (ธันวาคม ค.ศ. 1998)
Dreamweaver 3.0 (ธันวาคม ค.ศ. 1999)
Dreamweaver UltraDev 1.0 (มิถุนายน ค.ศ. 2000)
Dreamweaver 4.0 (ธันวาคม ค.ศ. 2000)
Dreamweaver UltraDev 4.0 (ธันวาคม ค.ศ. 2000)
Dreamweaver MX (พฤษภาคม ค.ศ. 2002)
Dreamweaver MX 2004 (10 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003)
Dreamweaver 8 (13 พฤศจิกายน ค.ศ. 2005)
Dreamweaver CS3 (16 เมษายน ค.ศ. 2007) เป็นเวอร์ชันแรกหลังจากรวมกับบริษัท อะโดบีซิสเต็ม
Dreamweaver CS4 (23 กันยายน ค.ศ. 2008)

Monday, 8 March 2010

อาหาร 10 อย่างที่ควรมีไว้ในตู้เย็น


อาหารประเภทไหนที่ควรมีไว้ในตู้เย็น วันนี้มีมาบอก...

- น้ำเปล่า

"น้ำ" ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต ช่วยทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นไม่อย่างปกติ ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติและมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น รวมทั้งช่วยให้การขับถ่ายของเสียทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ผิวชุ่มชื่น โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือน้ำอุณหภูมิปกติ

- ผัก

"ผัก" ถือเป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ อาทิ วิตามิน เกลือแร่ อยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ในผักยังมี "ใยพืช" (Fiber) ซึ่งช่วยกระตุ้นลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้

- ไข่ไก่

"ไข่ไก่" เพราะในไข่ไก่มีทั้งโปรตีนและกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย 9 ชนิด ทั้งยังมีวิตามินกับเกลือแร่อีกหลายชนิด เช่น วิตามินเอ , บี, ดี และ อี ธาตุเหล็ก , สังกะสี, ซีลีเนียม และไอโอดีน ส่วนใครที่เคยเชื่อมาผิด ๆ ว่าทานไข่แล้วจะเสี่ยงกับความอ้วนนั้น คุณเข้าใจผิด เพราะโคเลสเตอรอลในไข่แดงมีประมาณ 230 มิลลิกรัมต่อฟอง ซึ่งนับว่าปลอดภัยกว่าการกินเนย แป้ง น้ำตาล และเนื้อสัตว์ติดมันมาก

- นม

"นม" ในที่นี้จะเป็นประเภทใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นนมวัว นมถั่วเหลือง หรือนมเปรี้ยว เพราะทุกประเภทล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเราต้องอ่านฉลากข้างกล่องหรือขวดให้ดีก่อนจะซื้อมาเก็บไว้ในตู้ เย็น เพราะในนมแต่ละยี่ห้อแต่ละสูตรก็จะมีปริมาณน้ำนมและสารปรุงแต่งไม่เท่ากัน สำหรับคนที่ไม่มีปัญหาในเรื่องระบบย่อยอาหารคุณควรดื่มนมวัว เพราะในนมวัวมีแคลเซียมและโปรตีนซึ่งมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนดีกว่าโปรตีน จากถั่วเหลือง

- เนื้อปลา

"เนื้อปลา" เพราะโปรตีนจากเนื้อปลามีไขมันต่ำ ย่อยง่าย และมีสาอาหาร คือ กรดโอเมก้า 3 ซึ่งมีกรด DHA และกรด EPA โดย DHA จะช่วยบำรุงเซลล์สมอง เซลล์ประสาท และเรตินาในดวงตา ส่วนกรด EPA ช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอล และลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในร่างกาย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

- ผลไม้รสเปรี้ยว

ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม , มะม่วง,ฝรั่ง, กีวี่ ,ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เพราะผลไม้ประเภทนี้จะมีวิตามินซีสูง (แถมยังปลอดภัยจากความอ้วนกว่าผลไม้รสหวานที่มีน้ำตาลมาก) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค ช่วยลดระดับไขมันที่จะไปพอกพูนเส้นเลือดในร่างกายแล้วทำให้หลอดเลือดอุดตัน ทั้งยังช่วยควบคุมโคเลสเตอรอล และป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ที่สำคัญวิตามินซีทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นเหตุของการเสื่อมของร่างกายอีกด้วย

- โยเกิร์ต

"โยเกิร์ต" มีวิตามิน ได้แก่ วิตามิน เอ, บี1, บี2, บี3, บี6, บี12, ดี, อี มีกรดที่ช่วยในการดูดซึมโปรตีน แคลเซียมและเหล็กเข้าสู่ร่างกาย ช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร และระบบการขับถ่าย ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ช่วยบำรุงผิวพรรณ แต่ก่อนซื้อต้องอ่านฉลากให้ดีก่อนว่าในโยเกิร์ตรสและยี่ห้อนั้น ๆ มีส่วนประกอบและคุณค่าทางอาหารอะไรบ้าง แนะนำว่าโยเกิร์ตธรรมชาติที่มีน้ำตาลน้อยดีที่สุด

- แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลมีสารอาหารที่มีประโยชน์หลายชนิด อาทิ สารเบตาแคโรทีน วิตามินซี นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยมาก ซึ่งจะทำหน้าที่ทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น และถ้าอยากได้คุณค่าเต็มเปี่ยมแนะนำให้ทานแอปเปิ้ลทั้งเปลือก เพราะเปลือกของแอปเปิ้ลแดง 1 ผลนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับวิตามินซี 820 มิลลิกรัม

- ถั่ว

“ถั่ว” ถือเป็นโปรตีนจากพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงไม่แพ้โปรตีนจากเนื้อสัตว์เชียว ดังนั้นคนที่อยู่ในช่วงทานเจหรือมังสวิรัติแต่ไม่อยากให้ร่างกายขาดโปรตีน ถั่วจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด และที่สำคัญถั่วยังอุดมไปด้วยวิตามินที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของผิวหนัง ผม การควบคุมความดันโลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการแข็งตัวของเลือด นอกจากนี้ไขมันไม่อิ่มตัวในถั่วจะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล

- ธัญพืช

"ธัญพืช" จำพวกข้าวโพด , ลูกเดือย ,งา ,ข่าวฟ่าง,เมล็ดทานตะวัน, จมูกข้าว, รำจ้าว (ชนิดที่อบกรอบพร้อมทาน) ติดตู้เย็นไว้จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาได้มากทั้งยังดีต่อสุขภาพ โดยในธัญพืชจะมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ต้องใช้เวลาในการย่อย ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่ขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทำเกิดเป็นโรคเบาหวานตามมาในภายหลัง (ต่างจากแป้งขัดขาวซึ่งน้ำตาลจะถูกย่อยเร็ว) นอกจากนี้ธัญพืชยังเปี่ยมด้วยวิตามิน เกลือแร่ และไฟเบอร์

รู้อย่างนี้แล้ว ลองหาอาหารแต่ละชนิดมาติดไว้ในตู้เย็น เพื่อสุขภาพที่ดี.


ทำไมยาคูลท์ถึงมีแต่แบบขวดเล็ก


หลายคนสงสัยไหมว่าทำไมยาคูลท์ถึงไม่มีขวดใหญ่เลย เพราะคนที่ทานเยอะ เมื่อดื่มแล้วไม่อิ่ม จริงไหม

ทุกเย็นหลังเลิกงาน จะมีสาวยาคูลท์นำยาคูลท์มาส่งให้กับพนักงานออฟฟิตทุกวันเป็นเรื่องปกติ แต่แล้วมองไปที่ขวดยาคูลท์ เอ..ทำไมยาคูลท์ถึงมีแต่ขวดเล็ก ไม่มีขวดใหญ่ให้ลูกค้าเลือกซื้อ ???...

ยาคูลท์ (Yakult) เป็นเครื่องดื่มคล้ายโยเกิร์ตชนิดหนึ่ง ถูกคิดค้นโดย ศาสตราจารย์ชิโระตะ มิโนะรุ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเกียวโต เกิดจากกระบวนการหมักของนมพร่องมันกับน้ำตาลและแบคทีเรียแลกโตบาซิลลัส ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่พบในระบบดูดซึมอาหารของมนุษย์ ซึ่งส่งผลช่วยให้ระบบในร่างกายของมนุษย์ทำงานได้ดีขึ้น ชื่อของยาคูลท์มาจากภาษาเอสเปรันโต คำว่า Jahurto ซึ่งหมายถึงโยเกิร์ต นั่นเอง

โดยปกติธรรมชาติแล้ว จุลินทรีย์ชนิดนี้มีอยู่แล้วตามทางเดินอาหารของคนเรา และเป็นจุลินทรีย์ที่ดีมีประโยชน์ ช่วยทำให้เกิดกระบวนการย่อย และหมักในทางเดินอาหารในส่วนที่ร่างกายของคนเราไม่สามารถจะย่อยได้ จุลินทรีย์กลุ่มนี้จะคอยช่วยเหลือ แต่ถ้ามีจำนวนมากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายต่อเราได้เช่นเดียวกัน คืออาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ เพราะจุลินทรีย์ผลิตกรดขึ้นมา ซึ่งเป็นผลทำให้ยาคูลท์ผลิตขนาดเดียว คือ 80 ซีซี ที่พอเหมาะกับปริมาณของเชื้อแลคโตบาซิลลัส โดยจะสังเกตข้างขวดที่เขียนไว้ว่า มีปริมาณเชื้อแลคโตบาซิลลัส 8.0x10 ( ยกกำลัง 9 )

ถ้าทำยาคูลท์ให้มีขนาดขวดใหญ่พอ ๆ กับยาคูทล์ 6 ขวดเล็กรวมกันแล้วละก็ คงไม่ดีต่อผู้บริโภคแน่ เพราะจะทำให้ได้รับปริมาณเชื้อแลคโตบาซิลลัสมากเกินพอ หรือถ้าจะทำขนาด 450 ซีซี ขึ้นมาจริงๆ แล้ว ลดปริมาณแลคโตบาซิลลัสลงอาจจะทำได้ แต่เชื่อแน่ว่ารสชาติของยาคูลท์อาจจะเปลี่ยนไปไม่อร่อยเหมือนเคย

และถ้าหากเราทานยาคูลท์วันละ 6 ขวด เพื่อความอร่อยแต่อาจเกิดโทษขึ้นได้ ทานวันล่ะขวดก็เพียงพอแล้ว คนที่ไม่ทานเลยก็ไม่เป็นอะไร เพราะว่าในร่างกายของเรามีจุลินทรีย์ชนิดนี้อยู่เรียบร้อยแล้ว อีกเรื่องที่ควรสังเกต เพื่อความปลอดภัยของผู้ที่บริโภคยาคูลท์ก็คือ อย่าลืมดูวันหมดอายุข้างขาดและเลือกซื้อจากตู้แช่ที่เก็บไว้ใน อุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส เพราะจะทำให้ได้จุลินทรีย์ที่พร้อมจะทำงานให้เราได้ทันที และถ้ามีข้อสงสัยเพิ่มเติมถามสาวยาคูลท์ได้เลยนะคะ

ที่มา http://web.bangmod.ac.th/NewsBoard2006/view_news.asp?news_id=2939

น้ำแข็งแห้ง อันตรายข้างตัวที่นึกไม่ถึง!!

ทำความรู้จักก่อนสายเกินแก้

อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้!! หลายคนคงนึกถึงอะไรเย็นๆ ที่จะช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายลงได้ อย่างห้องที่เปิดแอร์เย็นๆ มีพัดลมสักตัว หรือแม้แต่การซื้อ “น้ำแข็ง” ตามท้องตลาดมารับประทานเพื่อดับร้อน... บางรายก็มีไอเดียเก๋ไก๋ เอาน้ำแข็งชนิดที่รับประทานไม่ได้อย่าง “น้ำแข็งแห้ง” มาใช้คลายร้อนซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศ!! ...แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการทำแบบนี้ก็มีโทษอย่างที่เราเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน...

“น้ำแข็งแห้ง” แต่ก่อนใช้กันในเฉพาะวงการอุตสาหกรรม เป็นวัตถุดิบสำหรับทำฝนเทียม ทำน้ำยาดังเพลิงเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันมีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นงานใหญ่โตต่างๆ ในคอนเสิร์ตเองก็ใช้เพื่อสร้างควันหรือหมอกจำลอง แม้แต่งานแต่งงานก็มีการใช้น้ำแข็งแห้งมาประดับภายในงานเพื่อเพิ่มความน่าสนใจและเย็นสบาย ...ส่วนที่เห็นได้ใกล้ตัวเราอย่างการบรรจุใส่รถขายไอศกรีม เพื่อไม่ให้ไอศกรีมละลาย ....ที่นำมาใช้แบบนี้เป็นเพราะน้ำแข็งแห้งมีอุณหภูมิเย็นจัดถึงลบ 80 องศาเซลเซียส ขณะที่น้ำแข็งธรรมดาทั่วไปมีอุณหภูมิราว 0 องศา โดยมีความเย็นมากกว่าน้ำแข็งธรรมดาทั่วไป 2 หรือ 3 เท่า จึงนิยมนำมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหารประเภทไอศกรีม นม เบเกอรี่ ไส้กรอก และเนื้อสัตว์ เพื่อถนอมอาหารในขั้นตอนการผลิตหรือในการขนส่ง หรือใช้เก็บอาหารสำหรับเสิร์ฟบนเครื่องบิน และอาจใช้ผสมในเครื่องดื่มเพื่อให้เกิดฟองปุดๆ ทำให้เครื่องดื่มนั้นดูน่าสนใจขึ้น

แต่หากนำมาใช้กันอย่างถูกวิธี “น้ำแข็งแห้ง” ก็ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แต่หากใช้ผิดวิธีแล้วล่ะก็!! อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เช่นกัน เพราะ น้ำแข็งแห้งหรือดรายไอซ์นั้นแท้จริงแล้ว มันก็คือคาร์บอนไดออกไซด์ในสถานะของแข็ง หรือชื่ออย่างเป็นทางการของมันก็คือ คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง นั่นเอง ขั้นตอนในการผลิตก็ค่อนข้างซับซ้อน นั่นคือต้องนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาผ่านการอัดและลดอุณหภูมิลงภายใต้ความดันสูง จนได้ออกมาเป็นคาร์บอนไดออกไซด์เหลว จากนั้นก็ต้องทำการลดความดันลงอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปแล้วจะใช้วิธีการพ่นคาร์บอนไดออกไซด์เหลวออกไปสู่ความดันบรรยากาศ จึงจะได้ คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง หรือ น้ำแข็งแห้งออกมาเป็นรูปร่างต่างๆ แต่น้ำแข็งแห้งจะไม่หลอมละลายกลายเป็นน้ำเหมือนน้ำแข็งทั่วไป แต่จะระเหิดและกลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แทน

เพราะความเย็นจัดของไอ้เจ้าน้ำแข็งแห้งนี่เอง...ที่ทำให้เราอาจได้รับบาดเจ็บ หากสัมผัสมันด้วยมือเปล่า เพราะอาจทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า frost bite หรือผิวหนังไหม้จากอุณหภูมิเย็นจัด ซึ่งอาการจะปวดแสบ ปวดร้อนยิ่งกว่าการถูกไหม้จากน้ำร้อนลวกเสียอีก

ดังนั้น เวลาจำเป็นต้องสัมผัสน้ำแข็งแห้ง จึงควรใช้ถุงมือหรือกระดาษมารองไว้อีกหนึ่งชั้นก็พอจะช่วยลดอันตรายลงได้บ้าง หากในกรณีที่ถูกน้ำแข็งกัด ก็ให้ล้างมือโดยเร็ว ด้วยน้ำสะอาดในปริมาณมากและไปพบแพทย์ทันที แต่อันตรายที่ยิ่งกว่าของน้ำแข็งแห้ง ก็คือ ต้องไม่ลืมว่า ทั้งก้อนน้ำแข็งแห้งนั้น มันคือ คาร์บอนไดออกไซด์เพียวๆ ซึ่งจัดว่าเป็นก๊าซอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจของเรา หากต้องเล่นกับน้ำแข็งแห้งที่มีการระเหิดมากๆ จึงควรอยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หรืออยู่กลางแจ้งเท่านั้นนอกจากนี้ การเก็บน้ำแข็งแห้งจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ห้ามจัดเก็บน้ำแข็งแห้งปริมาณมาก ๆ ในห้องแคบหรือห้องที่มีเพดานต่ำ หรือที่มีระบบระบายอากาศไม่ดีพอ เพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะระเหิดออกมาแทนที่ก๊าซออกซิเจน อาจทำให้ขาดอากาศหายใจเสียชีวิตได้ อีกทั้ง ไม่ควรเก็บน้ำแข็งแห้งไว้ในภาชนะที่ปิดสนิท เพราะคาร์บอนไดออกไซด์ที่ระเหิดออกมา อาจรวมตัวและเกิดระเบิดขึ้นได้ ที่สำคัญ!! ไม่ควรที่จะมาเก็บน้ำแข็งแห้งไว้ในตู้เย็นโดยเด็ดขาด เพราะอุณหภูมิของน้ำแข็งแห้งนั้น ต่ำกว่าอุณหภูมิของตู้เย็น ซึ่งอาจทำให้ตู้เย็นไม่ทำงาน

และหากจำเป็นต้องนำน้ำแข็งแห้งไปใช้ประกอบการแสดงคอนเสิร์ต ควรจัดระบบระบายอากาศด้านล่างให้เหมาะสม เพราะหากระบบระบายอากาศถ่ายเทไม่ดี ก็อาจจะเกิดปัญหาได้เช่นกัน เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะมีน้ำหนักมากกว่าอากาศทั่วไป ทำให้ก๊าซดังกล่าวลอยในระดับต่ำ ซึ่งนั้นก็หมายความว่าก๊าซจะลอกอยู่ในระดับผู้ชมด้านล่างนั่นเอง อาจส่งผลต่อระบบหายใจ

และที่สำคัญที่สุดห้ามบริโภคน้ำแข็งแห้งโดยตรง หรือแม้กระทั่งน้ำที่ถูกแช่ด้วยน้ำแข็งแห้งโดยเด็ดขาด เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนได้ชื่อว่าเป็นคาร์บอนไดออกไซด์นั่นเอง และจำต้องเก็บให้พ้นมือเด็กด้วยเห็นแล้วหรือยังครับว่าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรา หากใช้ให้ถูกวิธี ประโยชน์นับไม่ถ้วน แต่หากผิดวิธีกลับมีอันตรายถึงชีวิตได้...

น้ำแข็งแห้งคืออะไร?

น้ำแข็งแห้งเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่แข็งตัว ซึ่งได้ผ่านกรรมวิธีการผลิตทางเคมีแล้ว กรรมวิธีการผลิตก็คือการทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เย็นโดยใช้ความกดดัน ในขั้นแรกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะกลายเป็นของเหลว แล้วใช้ท่อเป่าของเหลวนี้อีกจนกลายเป็นของแข็งไปในที่สุด น้ำแข็งแห้งจะมีความเย็นจัดมาก มีอุณหภูมิถึง -80 องศาเซลเซียส การที่น้ำแข็งแห้งมีอุณหภูมิเย็นจัดเช่นนี้เอง จึงเป็นอันตรายต่อเรามาก หากเราเผลอรับประทานเข้าไปอาจถึงตายได้ หรือแม้กระทั่งถูกผิวหนังของเรา ก็ทำให้ผิวหนังเราไหม้ได้ แต่เราใช้ประโยชน์จากน้ำแข็งแห้งโดยการแช่เย็นผัก หรือสินค้าอื่นๆ ที่เราต้องการขนส่งในระยะทางที่ไกลๆ ได้ เช่น ขนไปต่างประเทศ เป็นต้น หรือใช้น้ำแข็งแห้งในการวิจัยทางการแพทย์ เพื่อแช่สายเคมีบางอย่างซึ่งนิยมใช้มากในทางการแพทย์ ส่วนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ข้อมูลจากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติระบุว่า...ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการแยกก๊าซ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น เป็นน้ำแข็งแห้งสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมถนอมอาหาร เป็นวัตถุดิบสำหรับในการทำฝนเทียม น้ำยาดังเพลิง สร้างควันหรือหมอกจำลอง ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม เป็นต้น

Saturday, 6 March 2010

Internet Explorer 8 "ปลอดภัยยิ่งขึ้นเมื่อออนไลน์"

เมื่อเว็บไซต์มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น วิธีที่แฮกเกอร์และเว็บไซต์ประสงค์ร้ายต่างๆ พยามยามจะส่งไวรัส
เมื่อเว็บไซต์มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น วิธีที่แฮกเกอร์และเว็บไซต์ประสงค์ร้ายต่างๆ พยามยามจะส่งไวรัส สร้างความเสียหายให้กับคอมพิวเตอร์ ดึงข้อมูลส่วนตัว และตรวจสอบพฤติกรรมการออนไลน์ของคุณก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
รู้หรือไม่ว่ามัลแวร์ คือซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความเสียหายให้กับคอมพิวเตอร์ของคุณ เช่น ไวรัสคอมพิวเตอร์ มัลแวร์อาจถูกดาวน์โหลดโดยที่คุณรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือไม่ได้อนุญาต ฟิชชิ่ง คือช่องทางสำหรับอาชญากรในการดึงข้อมูลส่วนตัวของคุณ (เช่น หมายเลขบัตรเครดิต) โดยแสร้งว่าเป็นองค์กรที่ถูกกฏหมาย เช่น ธนาคารของคุณ Internet Explorer จะช่วยป้องกันการจู่โจมเหล่านี้ และอื่นๆ อีกมากมาย การให้บริการเบราว์เซอร์ที่ไว้วางใจได้นั้น หมายถึงเบราว์เซอร์ที่มีความปลอดภัยสูงและเชื่อถือได้ เป็นเบราว์เซอร์ที่เคารพการตัดสินใจของผู้ใช้งาน และช่วยให้ผู้ใช้งานควบคุมคอมพิวเตอร์และข้อมูลของตนเองได้

ตัวกรอง SmartScreenตัวกรอง SmartScreen ใหม่ของ Internet Explorer 8 ช่วยปกป้องคุณจากการติดตั้งมัลแวร์โดยไม่เจตนา หรือซอฟต์แวร์ที่มีเจตนาร้ายซึ่งเป็นอันตรายต่อข้อมูล ความเป็นส่วนตัว และข้อมูลเฉพาะตัวของคุณ และสามารถทำลายคอมพิวเตอร์และข้อมูลอันมีค่าของคุณ เราขอแนะนำให้คุณเปิดใช้งาน SmartScreen ซึ่งคุณสามารถเลือกเปิดหรือปิดการทำงานได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ คุณยังสามารถช่วยพัฒนาเว็บไซต์สำหรับทุกคนได้โดยแจ้งเว็บไซต์ที่สงสัยว่ามีเจตนาร้ายด้วยตัวกรองนี้ หากตัวกรอง SmartScreen ทำงานอยู่และคุณพยายามเรียกดูเว็บไซต์ที่พิจารณาแล้วว่าไม่ปลอดภัย หน้าจอด้านล่างนี้จะพร้อมท์ถามให้คุณเลือกดำเนินการอื่นๆ


เมื่อเปิดการทำงาน ตัวกรอง SmartScreen จะแจ้งเตือนเมื่อคุณพยายามดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ที่อาจเป็นอันตรายตัวกรอง Cross Site Scripting (XSS)

Internet Explorer 8 ขอแนะนำคุณสมบัติในการตรวจพบรหัสที่เป็นอันตรายบนเว็บไซต์ที่ละเมิดความปลอดภัย เพื่อช่วยปกป้องคุณจากการถูกหาผลประโยชน์ที่นำไปสู่การเิปิดเผยข้อมูล การขโมยคุกกี้ การโจรกรรมบัญชีผู้ใช้/ข้อมูลประจำตัว และอื่นๆ การจู่โจมเหล่านี้เป็นการคุกคามทางออนไลน์ประเภทหลัก เราจึงได้รวม Cross Site Scripting ซึ่งเป็นตัวกรองชนิดใหม่ เพื่อให้คุณออนไลน์ได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น การเน้นโดเมน

การเน้นโดเมนทำให้คุณตีความที่อยู่เว็บต่างๆ (URLs) ได้ง่ายขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงเว็บไซต์ประสงค์ร้ายและฟิชชิ่งเว็บไซต์ที่พยายามลวงคุณด้วยที่อยู่เว็บซึ่งชวนให้เข้าใจผิด คุูณลักษณะนี้จะเน้นสีดำที่ชื่อโดเมนที่ปรากฏในแถบที่อยู่ และส่วนอื่นๆของ URL จะแสดงด้วยสีเทา เพื่อให้ระบุคุณลักษณะเฉพาะของเว็บไซต์นั้นๆ ได้ง่ายขึ้น


Data Execution Prevention (DEP) (การป้องกันการดำเนินการข้อมูล)การป้องกันการดำเนินการข้อมูล (DEP) ที่เปิดการทำงานตามค่าเริ่มต้นของ Internet Explorer 8 ใน Windows Vista Service Pack 1 นั้นเป็นคุณลักษณะเพื่อความปลอดภัยที่ช่วยป้องกันคอมพิวเตอร์ของคุณจากความเสียหายที่เกิดจากไวรัสคอมพิวเตอร์และการคุกคามความปลอดภัยต่างๆ โดยป้องกันไม่ให้มีการเขียนรหัสบางประเภทลงในพื้นที่หน่วยความจำที่ปฏิบัติการได้


ขอขอบคุณข้อมูลดีดี จาก Snow Leopard

เตรียมตัวรับมือ USB 3.0 กำลังจะมาแล้ว

เพื่อนๆ คงจะได้ยินข่าวแววๆ มาแล้วบ้างว่า ตอนนี้ USB ของ ปัจจุบันนี้ มีถึง 3.0 กันแล้ว แต่ก็ได้ยินแค่ข่าวว่าจะมาเพื่อนๆ คงจะได้ยินข่าวแววๆ มาแล้วบ้างว่า ตอนนี้ USB ของ ปัจจุบันนี้ มีถึง 3.0 กันแล้ว แต่ก็ได้ยินแค่ข่าวว่าจะมา แต่ก็ไม่รู้ราคาว่ามันเท่าไหร่ มาเมื่อไหร่ กันใช่ไหมล่ะครับ วันนี้ผมจะนำข้อมูลอัพเดทเกี่ยวกับ USB 3.0 มาให้ทราบกันเพิ่มเติม โดยตอนแรกผมคิดว่าหากจะใช้ USB 3.0 ก็ต้องซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่แน่ๆ เลย เพราะว่าคงจะไม่ใช้งานโดยนำ USB 3.0 มาเสียบต่อ USB 2.0 หรอกเน๊อะ แต่วันนี้ไปเจอของต่างประเทศก็เลยอัพเดทให้เพื่อนๆ ชาว Xcite ให้ทราบกันครับ

USB 3.0 ที่เห็นในภาพนี้เป็นรูปแบบ ตัวเสียบเพิ่มในคอมพิวเตอร์ในแบบ PCIe ซึ่งจะเปิดตัวในอเมริกาในไม่นานนี้ โดยคิดว่าน่าจะมาแทนที่ USB 2.0 และ FireWire 400 ซึ่ง เหตุผลที่นำมาใช้แทนนั้น แทบจะไม่ต้องพูดถึงว่าดีแค่ไหน เพราะว่าดีกว่าทุกอย่างครับ ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลที่เร็วกว่าถึง 10 เท่า ซึ่งมีความเร็วมากๆ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถดาวน์โหลด หนังระดับ HD หรือ สื่อมัลติมีเดียอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว


USB 3.0 PCIe เป็นอุปกรณ์เสียบเสริมในคอมพิวเตอร์ โดยเปิดตัวราคาอยู่ที่ $79.99 (ประมาณ 2,800 บาท) แต่เพื่อนๆ อย่าคิดว่าอย่างนี้คอมพิวเตอร์พกพา หรือ โน๊ตบุ๊คก็หมดสิทธิล่ะสินี้ ไม่จริงครับ เจ้าของผู้ผลิตได้เพิ่มทางแก้ไขให้แล้วโดยออกมาในรูปแบบ ExpressCard adapter ในรา $79.99 (ประมาณ 2,800 บาท)

ซึ่งกำหนดการเปิดตัวเดือนเมษายน 2010 ใน Us

เดือนพฤษภาคม 2010 ใน แคนนาดา


ทั้งนี้ยังมีสาย USB SuperSpeed 3.0 Premium A-B Cable, 4ft $39.99 (ประมาณ 1,400 บาท) 8ft $49.99 (ประมาณ 1,750 บาท) และสาย SuperSpeed USB 3.0 Premium Micro-B Cable 4ft $39.99 (ประมาณ 1,400 บาท) 8ft $49.99 (ประมาณ 1,750 บาท) เพื่อช่วยให้การใช้งานของเรานั้นเต็มประสิทธิภาพอีกด้วยอีกด้วย


ขอขอบคุณข้อมูลดีดี จาก Snow Leopard

Bluetooth 4.0 รับ-ส่งข้อมูลแรงกว่าเดิม รัศมีไกลขึ้น

มาตรฐานการรับ-ส่งข้อมูลไร้สาย Bluetooth ในเวอร์ชั่นใหม่ 4.0 เน้นประสิทธิภาพในการรับ-ส่งข้อมูลที่เร็วยิ่งขึ้น 1 Mbps รัศมีไกลถึง 100 เมตร

The Bluetooth Special Interest Group (SIG) เปิดตัวมาตรฐานการรับ-ส่งข้อมูลไร้สาย Bluetooth ในเวอร์ชั่นใหม่ 4.0 เน้นประสิทธิภาพในการรับ-ส่งข้อมูลที่เร็วยิ่งขึ้น 1 Mbps รัศมีไกลถึง 100 เมตร (จากเดิม 10 เมตร) แต่ใช้พลังงานน้อยลง สามารถนำไปใช้ในโทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์, อุปกรณ์ให้ความบันเทิงภายในบ้าน, เครื่องมือแพทย์, สถานออกกำลังกาย รวมไปถึงยานพาหนะ สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เดิมที่ใช้เทคโนโลยี Bluetooth v2.1 +EDR หรือ Bluetooth v3.0 +HS

ขอบคุณข้อมูลดีดี จาก Snow Leopard

ลดขนาดภาพที่เดียวทั้งโฟลเดอร์

คุณเคยใช่มั้ยครับเวลาที่ต้องการลดขนาดไฟล์รูปภาพหลาย ๆ ภาพ เพื่อนำภาพไปลงบนเว็บไซด์ หรือส่งภาพต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นตัวอย่างงาน ซึ่งในกรณีที่ไม่ต้องการส่งไฟล์รูปภาพเต็มขนาดคุณจะต้องมานั่งลดขนาดไฟล์ทีละภาพด้วย Photoshop หรือโปรแกรมทำงานกับรูปภาพตัวอื่นๆ ดังนั้นวันนี้เราจะมาแนะนำโปรแกรมที่ชื่อ Batch Image Resizer ซึ่งเป็นโปรแกรมที่มีขนาดเล็กจิ๋วเดียว แถมทำงานได้มีประสิทธิภาพตรงตามความต้องการอย่างยิ่ง นอกจากนั้นยังเป็นโปรแกรมแบบ portable ซึ่งคุณสามารถใส่โปรแกรมไว้ใน flashdrive ไปใช้งานบนคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ได้อีกด้วย >> ดาวน์โหลด Batch Image Resizer << เมื่อดาวน์โหลดมาเรียบร้อยแล้วคุณจะได้ไฟล์ .exe ดังภาพข้างล่างนี้ ถ้าคุณ double-click ที่ไฟล์ดังกล่าวก็จะปรากฎหน้าต่างบอกวิธีใช้งานโปรแกรมขึ้นมา อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าโปรแกรมตัวนี้สามารถใช้งานได้ง่ายมาก ซึ่งไม่ต้องมีการลงโปรแกรมแต่อย่างใด และคุณไม่จำเป็นต้องเปิดโปรแกรมขึ้นมาเพื่อใช้งานอีกด้วย! อย่าพึ่งงงครับ วิธีการใช้งานง่าย ๆ ก็คือให้คุณ drag ตัว folder ที่เก็ยบรูปภาพของคุณไปวางที่ไฟล์ .exe ของโปรแกรม เพียงเท่านั้นโปรแกรมก็จะสร้างภาพขนาดเล็กจะไฟล์ภาพเดิมขึ้นมาให้คุณทันที และจะเก็บไว้ที่ folder เดิมของไฟล์ภาพเก่า (ไม่ใช่ save ทับภาพเก่านะครับ) ลองมาดูตัวอย่างกันครับ ขั้นที่ 1 เพื่อความสะดวกในการใช้งานให้นำไฟล์ของโปรแกรมมาไว้ที่ desktop ขั้นที่ 2 ให้เลือก [...]






คุณเคยใช่มั้ยครับเวลาที่ต้องการลดขนาดไฟล์รูปภาพหลาย ๆ ภาพ เพื่อนำภาพไปลงบนเว็บไซด์ หรือส่งภาพต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นตัวอย่างงาน ซึ่งในกรณีที่ไม่ต้องการส่งไฟล์รูปภาพเต็มขนาดคุณจะต้องมานั่งลดขนาดไฟล์ทีละภาพด้วย Photoshop หรือโปรแกรมทำงานกับรูปภาพตัวอื่นๆ ดังนั้นวันนี้เราจะมาแนะนำโปรแกรมที่ชื่อ Batch Image Resizer ซึ่งเป็นโปรแกรมที่มีขนาดเล็กจิ๋วเดียว แถมทำงานได้มีประสิทธิภาพตรงตามความต้องการอย่างยิ่ง นอกจากนั้นยังเป็นโปรแกรมแบบ portable ซึ่งคุณสามารถใส่โปรแกรมไว้ใน flashdrive ไปใช้งานบนคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ได้อีกด้วย >> ดาวน์โหลด Batch Image Resizer << เมื่อดาวน์โหลดมาเรียบร้อยแล้วคุณจะได้ไฟล์ .exe ดังภาพข้างล่างนี้ ถ้าคุณ double-click ที่ไฟล์ดังกล่าวก็จะปรากฎหน้าต่างบอกวิธีใช้งานโปรแกรมขึ้นมา อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าโปรแกรมตัวนี้สามารถใช้งานได้ง่ายมาก ซึ่งไม่ต้องมีการลงโปรแกรมแต่อย่างใด และคุณไม่จำเป็นต้องเปิดโปรแกรมขึ้นมาเพื่อใช้งานอีกด้วย! อย่าพึ่งงงครับ วิธีการใช้งานง่าย ๆ ก็คือให้คุณ drag ตัว folder ที่เก็ยบรูปภาพของคุณไปวางที่ไฟล์ .exe ของโปรแกรม เพียงเท่านั้นโปรแกรมก็จะสร้างภาพขนาดเล็กจะไฟล์ภาพเดิมขึ้นมาให้คุณทันที และจะเก็บไว้ที่ folder เดิมของไฟล์ภาพเก่า (ไม่ใช่ save ทับภาพเก่านะครับ) ลองมาดูตัวอย่างกันครับ ขั้นที่ 1 เพื่อความสะดวกในการใช้งานให้นำไฟล์ของโปรแกรมมาไว้ที่ desktop ขั้นที่ 2 ให้เลือก [...] คุณเคยใช่มั้ยครับเวลาที่ต้องการลดขนาดไฟล์รูปภาพหลาย ๆ ภาพ เพื่อนำภาพไปลงบนเว็บไซด์ หรือส่งภาพต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นตัวอย่างงาน ซึ่งในกรณีที่ไม่ต้องการส่งไฟล์รูปภาพเต็มขนาดคุณจะต้องมานั่งลดขนาดไฟล์ทีละภาพด้วย photoshop หรือโปรแกรมทำงานกับรูปภาพตัวอื่นๆ

ขอขอบคุณข้อมูลดีดี จาก Snow Leopard

Concept Phone 10 มือถือ แนวคิดในอนาคต


Weather Cell Phone Concept
แนวคิดมือถือบอกสภาพดินฟ้าอากาศ ผลงานการออกแบบของ Seunghan Song มีจุดเด่นตรงตัวเครื่องทำจากวัสดุโปร่งใส ขนาดบางเฉียบ หน้าจอสามารถแสดงผลได้เต็มพื้นที่ตัวเครื่อง ใช้ระบบสัมผัสในการควบคุมการทำงาน สามารถตรวจวัดสภาพอากาศในปัจจุบันแล้วแสดงผลบนตัวเครื่องได้ อย่างเช่น อากาศปลอดโปร่ง หน้าจอจะใสแจ๋ว หากฝนตกตัวเครื่องก็จะมีหยดน้ำฝนเกาะอยู่ และถ้ามีหิมะตกหน้าจอก็จะเป็นฝ้าด้วยไอความเย็นของหิมะ และหากต้องการโทรออกหรือเขียนข้อความ เพียงแค่ใช้ปากเป่าลมไปยังหน้าจอ ก็สามารถเขียนตัวอักษรหรือวาดรูปต่างๆ ลงไปได้เลย

Mobile script Concept
Aleksander Mukomelov ออกแบบแนวคิดโทรศัพท์มือถือร่วมสมัย คล่องตัวในการใช้งาน ด้วยหน้าจอระบบสัมผัสขนาดใหญ่ 9.5 นิ้วที่สามารถดึงเข้า-ออกจากตัวเครื่องด้านข้างได้

Projector Cell Phone Concept
นักออกแบบ Stefano Casanova นำเสนอผลงานแนวคิดสมาร์ทโฟนขนาดบางเฉียบ ติดโปรเจคเตอร์หรือเครื่องฉายภาพ ไว้ตรงกลางของตัวเครื่องรอยต่อระหว่างจอแสดงผลที่สามารถหมุนขึ้นได้กับแผง ปุ่มกด ผู้ใช้สามารถส่งภาพในโทรศัพท์ออกไปยังฉากหรือผนังเพื่อรับชมภาพในขนาดใหญ่ได้

Alarm Clock Cell Phone Concept
Carl Hagerling ออกแบบ แนวคิดโทรศัพท์มือถือนาฬิกาปลุก Sony Ericsson รูปทรงคล้ายนาฬิกาปลุกตั้งโต๊ะ มองเห็นเวลาชัดเจนด้วยรูปแบบนาฬิกาดิจิตอลขนาดใหญ่ มีเครื่องเล่น Walkman, ติดกล้องถ่ายรูป และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาด AAA 2 ก้อน

Pen Cell Phone Concept
แนวคิดโทรศัพท์มือถือรูปทรงปากกา ความสูง 8.7 นิ้ว ปุ่มกดตัวเลข 1-9 เรียงจากหัวปากกาไปด้านบน ถัดไปเป็นจอแสดงผล รองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอก MicroSD

Edge Cell Phone Concept
โทรศัพท์มือถือรูปทรงสไลด์ ที่มีแผงปุ่มกดโปร่งแสง ใช้ระบบสัมผัส ผลงานการออกแบบของ Chris Owens

Grass Cell Phone Concept
แนวคิดโทรศัพท์มือถือต้นหญ้า ของ Je-Hyun Kim เนื่องด้วยธรรมชาติสร้างสรรค์เทคโนโลยีให้ควบคู่กันไปได้อย่างลงตัว จึงไม่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมือถือต้นหญ้าเครื่องนี้ก็จะค่อยๆ ย่อยสลายตัวเองไปตามกาลเวลาภายในระยะเวลา 2 ปี

Mechanical Cell Phone Concept
Mikhail Stawsky ออกแบบแนวคิดโทรศัพท์มือถือพลังงานจากกลไกการหมุนตัวเครื่อง ด้วยการใช้นิ้วสวมลงไปในรูวงกลมแล้วหมุนโทรศัพท์ไปรอบๆ นิ้วมือ เพียงแค่นี้โทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ก็มีพลังงานเพิ่มขึ้นพร้อมด้วยหน้า จอแสดงผลระบบสัมผัสบอกสถานะการชาร์จ

Flexible Cell Phone Concept
แนวคิดโทรศัพท์มือถือกำไลข้อมือชิ้นนี้ เป็นผลงานการอกแบบของ Shirley A. Roberts ตัวเครื่องทำมาจากวัสดุที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถโค้งงอ ยึดปลายทั้งสองเข้าหากัน ใช้เป็นกำไลข้อมือ พกพาไปไหนได้สะดวกมากขึ้น

Ear Cell Phone Concept
Ilshat Garipov ออกแบบโทรศัพท์มือถือ Kambala ตัวเครื่องมีขนาดบางเฉียบ มีลักษณะคล้ายคลิปหนีบ ดึงส่วนยื่นออกมาเกี่ยวกับช่องหู คล้ายหูฟัง วัสดุประกอบตัวเครื่องแต่ละชั้นใช้โพลิเมอร์สอดแทรกด้วยชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์ และเซ็นเซอร์จำนวนมากสามารถตรวจจับผิวหน้าสัมผัสกับตัวเครื่องเปลี่ยนสีพื้น ผิวโทรศัพท์ให้เหมือนกับบริเวณที่ส่วมใสอยู่ ดูผิวเผินแล้วเหมือนกับโทรศัพท์ล่องหนได้


ขอบคุณข้อมูลดีดี จาก Snow Leopard

Friday, 5 March 2010

กลอนปวดขี้

เมื่อปวดขี้ มีที่ไป คือในส้วม
อย่านั่งบวม หน้าบูดเบี้ยว เยี่ยวเล็ดไหล
ปวดขี้มาก ลำบากตรูด ขมิบไป
อย่าอั้นไว้ เดี๋ยวตดแตก ขี้แหกตาม!!!
ขอได้รับความขอบคุณจาก http://www.joejamsai.com

ดาวเทียมธีออส


ดาวเทียมธีออส (THEOS : Thailand Earth Observation Satellite) เป็นดาวเทียมสำรวจข้อมูลระยะไกล (Remote Sensing) เพื่อใช้สำรวจทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทย โดยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลฝรั่งเศส ดำเนินงานโดย สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ. หรือ GISTDA) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับ บริษัท อี เอ ดี เอส แอสเตรียม (EADS Astrium) ประเทศฝรั่งเศส ด้วยงบประมาณ 6,000 ล้านบาท นับเป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากรดวงแรกของไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ลักษณะ

ชื่อ THEOS มาจากคำย่อภาษาอังกฤษว่า Thailand Earth Observation Satellite หมายถึง ระบบสำรวจพื้นผิวโลกโดยใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายจากดาวเทียมของประเทศไทย โดยพ้องกับภาษากรีก แปลว่า พระเจ้า
ดาวเทียมธีออส มีน้ำหนัก 750 กิโลกรัม เป็นดาวเทียมวงโคจรต่ำโคจรสูงจากพื้นโลกประมาณ 820 กิโลเมตร โคจรรอบโลกทุก 26 วัน มีอายุทางเทคโนโลยีขั้นต่ำ 5 ปี แต่อายุการใช้งานจริงมากกว่านั้น มีกล้องถ่ายภาพ 2 กล้อง ใช้ระบบซีซีดี สามารถบันทึกภาพจากการสะท้อนแสงของพื้นโลก (ต้องการแสงอาทิตย์) ได้ทั้ง ภาพแบบขาวดำ (Panchromatic) ที่รายละเอียด 2 เมตร แต่ละภาพกว้าง 22 กม. และภาพแบบหลายช่วงคลื่น (Multispectral) เพื่อนำมาแสดงร่วมกันให้เห็นเป็นภาพสี จำนวน 4 ช่วงคลื่น ที่รายละเอียด 15 เมตร แต่ละภาพกว้าง 90 กิโลเมตร ได้แก่ 3 ช่วงคลื่นแสงที่ตามองเห็น (ช่วงคลื่นแสงสีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน) และ 1 ช่วงคลื่น ใกล้อินฟราเรด (Near IR)

การส่งขึ้นสู่อวกาศ

ดาวเทียมธีออส ขึ้นสู่อวกาศ วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 เวลาในประเทศไทย 13:37:16 น. หรือ 6:37:16 น. ตามเวลามาตรฐานสากล (UTC) โดยจรวดนำส่ง เนปเปอร์ (Dnepr) ของบริษัท ISC Kosmotras ประเทศรัสเซีย จากฐานส่งจรวดเมืองยาสนี (Yasny) ประเทศรัสเซีย
เหตุการณ์การส่งดาวเทียมไม่สามารถถ่ายทอดสดได้ เนื่องจากฐานส่งจรวดที่เมืองยาสนีเป็นเขตทหาร จึงเป็นการรายงานสดทางโทรศัพท์มายังสถานีควบคุมและรับสัญญาณดาวเทียมธีออส อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี จรวดถูกยิงสู่ท้องฟ้าจากไซโลด้วยแรงขับเคลื่อนของจรวดท่อนที่ 1 ไปทางทิศใต้ตามแนวขั้วโลกมีมุมเอียงไปทางตะวันตก 8.9 องศา จรวดท่อนที่ 1 ขับเคลื่อนจากพื้นดินเป็นเวลา 110 วินาทีขึ้นไปที่ระดับสูง 60 กิโลเมตร แล้วแยกตัวออกและตกลงสู่พื้นโลกที่ประเทศคาซัคสถาน ต่อจากนั้นจรวดท่อนที่ 2 ขับเคลื่อนและนำดาวเทียมขึ้นต่อไปอีกเป็นเวลา 180 วินาที ได้ระดับความสูง 300 กิโลเมตร หรือเมื่อผ่านไป 290 วินาทีจาก Lift-off แล้วจรวดท่อนที่ 2 แยกตัวและตกลงในมหาสมุทรอินเดีย จรวดส่วนสุดท้ายพร้อมดาวเทียม เคลื่อนต่อไปตามวิถีการส่งจนถึงระดับความสูง 690 กิโลเมตร ดาวเทียมแยกตัวออกมาโคจรเป็นอิสระจากจรวดส่วนสุดท้าย ที่เวลาในประเทศไทย 15:09 น. สถานีควบคุมและรับสัญญาณดาวเทียมที่เมืองคิรูนา (Kiruna) ประเทศสวีเดน จะเป็นสถานีแรกที่ติดต่อกับดาวเทียมได้ (First Contact) ต่อจากนั้นดาวเทียมโคจรผ่านประเทศไทยครั้งแรก เวลา 21:16 น. ซึ่งสถานีควบคุมและรับสัญญาณดาวเทียมธีออส อ.ศรีราชา เริ่มปฏิบัติการควบคุมการโคจรดาวเทียมและตรวจสอบการทำงานต่างๆ เพื่อให้ดาวเทียม THEOS มีความสมบูรณ์พร้อมใช้งาน อันเป็นงานและภารกิจหลักในการให้บริการข้อมูลดาวเทียมแก่หน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ
ถสานีรับสัญญาณ

สถานีรับสัญญาณดาวเทียม อยู่ที่ เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร และสถานีควบคุมดาวเทียม อยู่ที่ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

ผลประโยชน์

1.สิทธิการใช้งาน ตัวดาวเทียมธีออส และสถานีควบคุมและรับสัญญาณภาคพื้นดิน
-ใช้สำรวจทรัพยากรทั้งภายในประเทศ ซึ่งมีหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน แสดงความประสงค์นำข้อมูลดาวเทียมธีออสไปใช้ประโยชน์ในการสำรวจหาข้อมูล และใช้ทำแผนที่ในภารกิจที่รับผิดชอบ เช่น เช่น การสำรวจหาชนิดของพืชผลการเกษตร, การประเมินหาผลผลิตการเกษตร, การสำรวจหาพื้นที่ป่าไม้, การสำรวจหาพื้นที่ป่าถูกบุกรุกทำลาย, การสำรวจหาพื้นที่ป่าถูกไฟไหม้, การสำรวจหาพื้นที่สวนป่า, การสำรวจหาชนิดป่า, การสำรวจหาพื้นที่ทำนากุ้งและประมงชายฝั่ง, การสำรวจหามลพิษจากคราบน้ำมันในทะเล, การสำรวจหาแหล่งน้ำ, การสำรวจหาแหล่งชุมชน, การสำรวจหาพื้นที่ปลูกฝิ่น, การวางผังเมือง, การสร้างถนนและวางแผนจราจร, การทำแผนที่, การสำรวจหาบริเวณที่เกิดอุทกภัย, การสำรวจหาพื้นที่ที่เกิดดินถล่ม, การสำรวจหาพื้นที่ประสบภัยจากคลื่นยักษ์สึนามิ
-ลดค่าใช้จ่ายการสั่งซื้อภาพจากดาวเทียมต่างประเทศ และสามารถขายข้อมูลการสำรวจทรัพยากรระหว่างประเทศ
2.ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการออกแบบและสร้างดาวเทียม แก่บุคลากรไทย
-การพัฒนาระบบดาวเทียม ระบบภาคพื้นดิน การควบคุมรับสัญญาณ และการจัดทำผลิตภัณฑ์ภาพ
-ได้สิทธิ์ในการรับสัญญาณและการให้บริการข้อมูลดาวเทียม SPOT-2, 4, และ 5 ก่อนดาวเทียมธีออสจะขึ้นสู่อวกาศ
-ได้สิทธิ์ในการพัฒนาบุคลากร ทั้งจากการได้ทุนการศึกษา ตลอดระยะเวลา 10 ปี โดยเป็นทุนฝึกอบรมในฝรั่งเศส สำหรับเจ้าหน้าที่ไทย ในด้านเทคโนโลยีดาวเทียมและการประยุกต์ใช้ จำนวน 80 ทุน และทุนการศึกษาระดับปริญญาโท-เอก จำนวนทั้งสิ้น 24 ทุน
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากฝรั่งเศสจะเดินทางมาเพื่ออบรม และจัดสัมมนาให้แก่เจ้าหน้าที่ไทยทุกปี

Jet Stream ( กระแสลมกรด )

กระแสลมกรด คือ แถบกระแสลมแรงที่เคลื่อนที่ในเขตโทรโพพอส (แนวแบ่งเขตระหว่างชั้นโทรโพสเฟียร์กับชั้นสตราโตสเฟียร์) โดยพัดจากด้านตะวันตกไปตะวันออกตามแนวการหมุนของโลก และพัดโค้งไปมาคล้ายแม่น้ำจากละติจูดสูงไปละติจูดต่ำ หรือจากละติจูดต่ำไปละติจูดสูง กระแสลมนี้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงมีความยาวหลายพันกิโลเมตร มีความกว้าง 2-3 ร้อยกิโลเมตรแต่มีความหนาเพียง 2-3 กิโลเมตรเท่านั้น โดยทั่วไปกระแสลมกรดจะพบที่ระดับความสูง 10-15 กิโลเมตร (6-9ไมล์) เหนือพื้นโลก

กระแสลมกรดมีความเร็วประมาณ 50-300ไมล์ต่อชั่วโมง ตรงแกนกลางของลมเป็นบริเวณแคบๆแต่มีลมพัดแรงที่สุด โดยความเร็วลมเฉลี่ย 80 นอต หรือ 92ไมล์ต่อชั่วโมงและอาจเพิ่มถึง 300ไมล์ต่อชั่วโมงในหน้าหนาว บริเวณกระแสลมอากาศจะมีความแปรปรวนปั่นป่วนมาก เนื่องจากความแตกต่างของความแรงของกระแสลมกรดกับอากาศที่อยู่บริเวณใกล้เคียง กระแสลมกรดยังมีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อการก่อตัวของเมฆฝนฟ้าคะนอง โดยส่งผลให้มีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นอย่างรุนแรงได้

กระแสลมกรดเป็นกระแสลมที่เกิดในบรรยากาศ ซึ่งพัดจากด้านตะวันตกไปตะวันออก กระแสลมกรดจะไหลอยู่บริเวณขอบระหว่างอากาศร้อนกับอากาศเย็น จะมีความแตกต่างกันมากในฤดูหนาวเกิดได้ทั้งซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ ความเร็วและตำแหน่งของกระแสลมกรดจะเปลี่ยนไปวันต่อวัน กระแสลมกรดในบริเวณละติจูดสูงมีความแรงมากกว่ากระแสลมกรดในบริเวณศูนย์สูตร กระแสลมกรดในฤดูหนาวมีความแรงมากกว่าในฤดูร้อน และฤดูหนาวจะพบกระแสลมกรดในละติจูดกลางและละติจูดต่ำได้ นอกจากนี้ตำแหน่งการเกิดของกระแสลมกรดยังสัมพันธ์กับระบบอากาศผิวพื้่น โดยเฉพาะหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงและแนวปะทะอากาศ และยังพบว่าในช่วงฤดูหนาว กระแสลมกรดในซีกโลกเหนือที่มีทิศทางมาทางใต้และวกกลับขึ้นไปทางเหนือ จะวิเคราะห์ได้เป็น Trough ในระดับสูง เนื่องจากด้านตะวันตกประกอบด้วยอากาศแห้งและเย็น และอากาศยกตัวขึ้นทางด้านตะวันออกของ Trough และจะเกิดฝนฟ้าคะนองที่รุนแรงได้

กระแสลมกรดแบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ๆคือ

1. กระแสลมกรดกึ่งโซนร้อน ( Subtropical Jet )
เกิดขึ้นในละติจูด 25 ถึง 40 องศาเหนือและใต้ ซึ่งเป็นเขตความกดอากาศสูงกึ่งโซนร้อน มักเกิดที่ระดับความสูงประมาณ 13 กิโลเมตร มีความเร็วลม 80-150 นอต บางครั้งมากว่า 400 นอต พบได้บ่อยบริเวณเอเชียตะวันออก และแปซิฟิก

2. กระแสลมกรดบริเวณขั้วโลก (Polar Jet )
เกิดในละติจูด 45 ถึง 60 องศาเหนือและใต้ มักเกิดที่ระดับความสูง 8 ถึง 10 กิโลเมตร พบได้ใกล้แนวปะทะอากาศขั้วโลกซึ่งเกิดจากอากาศหนาวจากขั้วโลกเคลื่อนที่มาพบกับอากาศอุ่นจากเขตร้อนและอยู่เหนือแนวปะทะอากาศขั้วโลก

ผลกระทบ
1.ผลกระทบต่อบรรยายกาศ
กระแสลมกรดเป็นกระแสลมที่มีความแรงมากสามารถมีผลกระทบกับระบบของอากาศโดยรอบและปรากฎการณ์ที่มักเกิดร่วมกับกระแสลมกรดเรียกว่า บริเวณความปั่นป่วนในอากาศแจ่มใส (Clear air turbulence: CAT )
2.ผลกระทบต่อการบิน
อันตรายของกระแสลมกรดต่อเครื่องบินที่กำลังทำการบิน โดยเฉพาะเครื่องบินขนาดใหญ่ที่ทำการบินในระดับสูงๆ เมื่อเครื่องบินเข้าสัมผัสกับกระแสลมกรดจะประสบกับความปั่นป่วนของอากาศอย่างรุนแรงอันเกิดจากวินเชียร์ทั้งในแนวตั้งและแนวนอน และอันตรายจากความเร็วลมซึ่งทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของเครื่องบินอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เครื่องบินและผู้โดยสารอาจได้รับบาดเจ็บได้

*** หมายเหตุ
ดังนั้นก่อนทำการบินทุกครั้งนักบินต้องศึกษาตำแหน่งและความรุนแรงของลมในแนวของกระแสลมกรดให้ละเอียดจากเอกสารประกอบการบิน(Flight Folder)
และข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยาอื่นๆเพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดอันตรายจากกระแสลมกรดให้น้อยลง
ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก http://www.aeromet.tmd.go.th/met/story/show_71.htm

จะจำไว้จนตายเลย เพราะว่าทำข้อสอบวิชา Cilmate ข้อนี้ไม่ได้ ฮือๆๆๆๆๆๆ

Thursday, 4 March 2010

เตือนภัย : ดื่มน้ำอัดลมหวานๆประจำอาจเสี่ยงกับ มะเร็งของตับอ่อน

วารสารวิชาการ "การระบาดวิทยา ตัววัดความเสี่ยงและการป้องกันมะเร็ง" ของสมาคมวิจัยมะเร็งแห่งอเมริกา รายงานว่า มีการศึกษาพบว่า การดื่มเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่มีรสหวาน จะทำให้เสี่ยงกับการเกิดเป็นมะเร็งของตับอ่อน อันเป็นมะเร็งที่ทำให้ถึงตายได้มากที่สุดชนิดหนึ่ง อย่างน่าหวาดหวั่น
รายงานผลการศึกษาส่อว่า เพียงแค่ดื่มอาทิตย์ละเพียง 2 หน ก็ทำให้โอกาสที่จะเป็นโรคเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า
ผู้ช่วยศาสตราจารย์มาร์ค พีไรนา ของโรงเรียนสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมินเนโซตา ผู้เขียนรายงานอาวุโส กล่าวว่า "ระดับน้ำตาลในเครื่องดื่มที่สูง อาจจะไปหนุนระดับอินซูลินในร่างกายให้สูงขึ้น ซึ่งคิดว่ามีส่วนช่วยเป็นปุ๋ยให้เซลล์มะเร็งตับอ่อนเติบโตขึ้น"
ผลการศึกษาแจ้งต่อไปว่า "ผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมอาทิตย์ละ 2 หนขึ้นไป จะมีอัตราเสี่ยงกับโรคสูงขึ้น เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ดื่ม ถึงร้อยละ 87 ซึ่งไม่พบลักษณะแบบเดียวกัน เกิดในหมู่ผู้ที่ดื่มน้ำผลไม้คั้น"
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เตือนภัย เครื่องปรับอากาศ ตัวสะสมเชื้อโรค


ต้นตอภูมิแพ้-งูสวัด-หัดเยอรมัน

“เชื้อโรคอยู่รอบตัวเรา”...คำพูดนี้คงไม่ผิดไปจากความเป็นจริงมากนัก เพราะในชีวิตประจำวันของเราคงไม่อาจหนีเจ้าเชื้อโรคที่สะสมอยู่ตามอุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ ในบ้านไปได้...ซึ่งหลายคนก็เลือกที่จะอาศัยเจ้าเครื่องปรับอากาศ มาช่วยทำให้บรรยากาศในบ้านดีขึ้น ด้วยเชื่อตามโฆษณาว่า จะช่วยให้บ้านหลังน้อยของเราปลอดภัยจากเชื้อโรคได้ แต่! ใครจะรู้ว่าเจ้า “เครื่องปรับอากาศ” หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “แอร์” ที่หลายคนเชื่อว่าจะช่วยดูดฝุ่น ดูดเชื้อโรคได้ จะกลับกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคชั้นดีไปซะเอง...!!!

เรื่องนี้ได้รับการยืนยันเป็นที่แน่นอนจาก นพ.ฉัตรชัย เอกปัญญาสกุล แพทย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) องครักษ์ ที่ออกมาเล่าให้ฟังว่า ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวแบบประเทศไทย ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่หันมาติดตั้งเครื่องปรับอากาศภายในบ้านกันมากขึ้น แต่ไม่มีใครสนใจว่าเครื่องปรับอากาศนั้น แม้จะทำให้คลายร้อนลงได้ แต่ยังแฝงไปด้วยเชื้อโรคและมลพิษที่มีผลต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา ล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อสุขภาพแทบทั้งสิ้น
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าในแอร์มีเชื้อโรคแฝงอยู่!...ง่ายนิดเดียวเพียงแค่สังเกตเวลาเปิดแอร์ว่า มีกลิ่นอับชื้นออกมาพร้อมกับลมเย็นหรือไม่ หากมี นั่นเป็นสัญญาณแสดงว่า มีเชื้อโรคแอบแฝงอยู่แน่นอน เพราะกลิ่นอับชื้นเหล่านี้มักมีต้นตอจากเชื้อโรคที่ออกมาจากช่องระบายความเย็นและแผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศ เพราะเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า ความชื้นเป็นแหล่งเพาะพันธุ์อย่างดีของเชื้อโรค เมื่อสะสมมากๆ เข้า เชื้อโรคก็จะหลุดลอยออกมาปะปนกับอากาศเย็นภายในห้อง ทั้งเชื้อโรคภูมิแพ้ ผื่นผิวหนังอักเสบ หืดหอบ ปอดบวมจากเชื้อลีเจียนแนร์ วัณโรค สุกใส งูสวัด หัดเยอรมัน และโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ให้เราได้สูดหายใจเอาเชื้อโรคต่าง ๆ มากมายเข้าไปในร่างกาย

แล้วมีวิธีป้องกันไหมนะ?...สำหรับวิธีป้องกันนั้น ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่เพียงแค่ล้างทำความสะอาดแอร์อย่างสม่ำเสมอ ด้วยการล้างแผ่นกรองอากาศอย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยใช้น้ำฉีดแรงๆ ที่ด้านหลัง ด้านที่ไม่ได้รับฝุ่น ให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกหลุดออกไป และในแต่ละปีควรล้างเครื่องปรับอากาศแบบเต็มระบบ จะช่วยขจัดเอาฝุ่นละออง เชื้อโรคที่เกาะติดอยู่กับส่วนต่างๆ ของเครื่อง และที่ล่องลอยอยู่ในอากาศภายในห้องทิ้งออกไป

นอกจากนี้ยังควรดูแลสิ่งแวดล้อมในห้องที่ใช้แอร์ด้วย โดยกำจัดฝุ่น กำจัดแหล่งที่อยู่ของแมลงสาบ ละอองเกสรพืช ไรฝุ่นในที่นอน ขนสัตว์ และแมลงอื่นๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ สำหรับบ้านหลังไหนที่มีหิ้ง ชั้นวางของ และตู้จำนวนมาก ต้องหมั่นทำความสะอาดบ่อยๆ และควรทำความสะอาดเพดาน ม่าน กำแพง ทุกๆ 2-3 เดือน เพื่อกำจัดแหล่งเชื้อรา อย่าให้เกิดความชื้นหรือกลิ่นอับขึ้นภายในบ้านหรือในห้องที่ใช้แอร์ได้

ไม่เพียงแต่แอร์เท่านั้นที่เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคชั้นดี เพราะเจ้าพัดลมที่ชอบส่ายหน้าไปมา ก็ไม่ยอมน้อยหน้าเหมือนกัน เผลอแป๊บเดียวก็มีฝุ่นเกาะอยู่บริเวณใบพัดและฝาครอบพัดลมเต็มไปหมด ทำให้ลมเย็น ๆ ที่ออกมาปะทะใบหน้าของเราเต็มไปด้วยฝุ่นละอองที่เป็นสารก่อให้เกิดภูมิแพ้ เพื่อป้องกันตัวเองให้พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ จึงควรทำความสะอาดพัดลมอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้งอีกด้วย

เมื่อดูแลความสะอาดรอบ ๆ ตัวเรียบร้อยแล้ว ก็อย่าลืมดูแลสุขภาพของตนเองด้วยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนอย่างเพียงพอ และออกกำลังกายอย่าน้อยวันละ 15-20 นาที เพื่อเสริมกำลังให้กับภูมิต้านทางในร่างกาย ให้แข็งแกร่ง สามารถที่จะต่อสู้กับเชื้อโรคร้ายต่าง ๆ ได้

ขอบคุณข้อมูลจาก...thaihealth

อาการปวดศีรษะไมเกรนกับการมีรอบเดือน


สาวๆทราบไหมคะว่า โดยเฉลี่ยแล้ว มีสถิติออกมาว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้มีอาการปวดศีรษะข้างเดียวหรือที่เรียกว่าไมเกรน (Migraines) จะเป็นผู้หญิง และใน 60 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มนี้ จะมีอาการปวดศีรษะและเกิดขึ้นในช่วงที่มีรอบเดือนอีกด้วยล่ะค่ะ

หลายคนคงเกิดคำถามว่า ทำไม ฮอร์โมนถึงทำให้เราปวดศีรษะได้ การปวดศีรษะของสาวๆ มีผลพวงที่เกิดมาจากการเปลี่ยนแปลงระดับที่ลดต่ำลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ผลิตจากรังไข่ ในระหว่างหรือหลังการมีประจำเดือนนั่นเองค่ะ อาการนี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่อายุประมาณ 14 ปีขึ้นไป โดยปวดศีรษะข้างเดียว ลักษณะปวดเป็นแบบปวดตุ้บๆ หรือแปล๊บๆ ตำแหน่งที่ปวดอาจจะแตกต่างกัน เช่น กระบอกตา ขมับท้ายทอย หรือทั่วศีรษะ หรือสลับข้างซ้ายขวาอย่างรุนแรง บางครั้งอาจทำให้คลื่นไส้หรืออาเจียนได้

วิธีในการป้องกันและลดความรุนแรง ควรเริ่มจากการออกกำลังกายเป็นประจำ สม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายสร้างสารต่อต้านความเจ็บปวด หรือที่เราคุ้นเคยกับคำว่า เอ็นดอร์ฟิน นั่นเองค่ะ เอ็นดอร์ฟินมีโครงสร้างคล้ายกับโครงสร้างของมอร์ฟีนจึงมีสรรพคุณเหมือนเป็นยาแก้ปวดอย่างดีเลยทีเดียว ขณะเดียวกันการออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้นอนหลับสบาย ระบบฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายปรับตัวสมดุล เมื่อภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลในช่วงมีประจำเดือนลดลง จะส่งผลให้อาการปวดศีรษะไมเกรนลดลงด้วย

นอกจากนั้นควรลดตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดไมเกรนลง เช่น ลดความเครียด ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ รับประทานยาในกลุ่มแอนตี้พรอสตาแกลนดินที่ช่วยลดอาการปวดศีรษะไมเกรนในช่วงที่มีประจำเดือนได้ แต่ทั้งนี้ก็ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา โดยเฉพาะผู้มีปัญหาเกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหารนะคะ

ในการรักษาอาการปวดศีรษะไมเกรนช่วงที่มีรอบเดือน ควรจะดูแลเรื่องการรับประทานอาหารเพิ่มเติมด้วย มีตัวอย่างอาหารบางประเภทที่เป็นของโปรดของสาวๆ แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันอาการปวดดังนี้ค่ะ

-กาเฟอีน มักจะพบในชาและกาแฟ

-สารแทนนินและไทรามีน สารแทนนินเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในอาหาร เช่น ชา กาแฟ ช็อกโกแลต ไวน์แดง ส่วนสารไทรามีนเป็นสารลดระดับเซโรโทนินในร่างกาย ซึ่งมีอยู่ในกล้วยสุกงอม ช็อกโกแลต เบียร์ เมล็ดพืชบางประเภท และถั่วต่างๆ

-เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

-น้ำตาลเทียม ผงชูรส และสารเจือปนอาหารอื่นๆ

ส่วนอาหารที่ช่วยลดความรุนแรงและความถี่ของไมเกรน ได้แก่ อาหารที่มีวิตามินบี 12 สูง เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ นม เนยแข็ง นั่นเองค่ะ รู้อย่างนี้แล้ว สาวๆลอรีเอะก็มีวิธีระวังและป้องกันการปวดศีรษะไมเกรนในช่วงที่มีประจำเดือนได้ถูกทางแล้วล่ะค่ะ


thanks for: teenee.com

ความกลัวคืออะไร?

ความกลัวคืออะไร?
พจนานุกรมให้คำจำกัดความของความกลัวว่า
กลัว [กฺลัว] ก. รู้สึกไม่อยากประสบสิ่งที่ไม่ดีแก่ตัว รู้สึกหวาดเพราะคาดว่าจะประสบภัย เช่น กลัวความยากจน กลัวถูกตำหนิติเตียน กลัวเจ็บป่วย กลัวสูญเสียสิ่งที่รัก หรือของรัก กลัวแก่ชรา กลัวตาย ฯลฯ ความรู้สึกกดดันที่เกิดจากความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้น, หรืออันตราย หรือสิ่งเลวร้าย และอื่น ๆ หรือโดยความคิดเช่นนั้น ความกลัวจึงเป็น ต้นเหตุของความทุกข์ ได้แก่ ตัณหา ความอยากทั้ง ๓ ได้แก่ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ความอยากในกาม ความอยากมีอยากเป็น ความอยากไม่มีอยากไม่เป็น คือความเกลียดชัง ความกลัวต่างๆ ไม่อยากจะพบ ไม่อยากจะเจอ ตัณหาทั้ง ๓ นี้ เป็นเหตุที่สร้างความทุกข์ให้เกิดขึ้นมาในจิตใจ ถ้าไม่มีตัณหาก็จะไม่มีความทุกข์
การเกิดขึ้น ต้นเหตุหรือมูลเหตุสำคัญของความกลัว
คือ อุปาทาน ซึ่งแตกตัวออกมา เป็นกามบ้าง เป็นความรักบ้าง เป็น สิ่งที่รักบ้าง เป็นตัณหาบ้าง อย่างพระพุทธพจน์ที่ว่า ความกลัวเกิดจากกาม ความกลัวเกิดจากสิ่งที่รัก ความกลัวเกิดจากความรัก ความกลัวเกิดจากตัณหา
ถ้าจะตัดต้นเหตุของความกลัว จะขจัดความกลัวต้องทำอย่างไร
เคยอ่านเจอในหนังสือชัยชนะแปดประการ ของอาจารย์วศิน อินทสระ บอกว่า ถ้ามีกำลังพอก็ตรงเข้าตัดที่ต้นเหตุเลย เช่น ตัดอุปาทาน ไปเสียเลย ตัดรักไปเลย ตัดตัณหาไปเลย แต่ถ้ากำลังไม่พอก็ ค่อยๆ บรรเทาให้เบาบางลง โดยพยายามทำความดีทั้งทางโลกและทางธรรม สามารถควบคุมตัวเองไม่ให้ทำสิ่งที่ไม่ต้องการจะทำได้ และตระหนักเสมอว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอนัตตา เป็นไปตามเหตุปัจจัย แล้วใจของคนผู้นั้นจะได้ที่พึ่งที่ประเสริฐ แล้วก็จะตัดต้นเหตุของความกลัวไปได้มาก หรือเอาชนะความกลัวด้วยความกล้าหาญ แต่ถ้าจะถามว่าทำอย่างไรถึงจะกล้าหาญ ตอบว่า ขอให้หลักย่อๆ เอาไว้
1. สร้างความเชื่อมั่นในสิ่งที่ยึดไว้เป็นที่พึ่ง เช่นว่า คุณความดีจะคุ้มครองเรา เพราะเรายึดความดี ไว้เป็นที่พึ่ง ก็ให้มั่นใจว่าคุณความดีจะช่วยเรา ฉะนั้น ความกล้า ก็เกิดขึ้น ไม่กลัว ความกล้าที่จะทำสิ่งที่ควรทำก็เกิดขึ้น สร้าง ความเชื่อมั่นในสิ่งที่ยึดไว้เป็นที่พึ่ง ใครที่เห็นอะไรเป็นที่พึ่งได้ยึด สิ่งนั้นเอาไว้เชื่อมั่น
2. อย่าคิดถึงสิ่งที่กลัว กลัวสิ่งใดก็อย่านึกสิ่งนั้น ให้นึกอย่างอื่น ส่งใจไปที่อื่นเสีย คือเมื่อกำลังนึกถึงสิ่งอื่น ไม่นึกถึงสิ่งที่กลัว ในธชัคคสูตร พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสถึงภิกษุที่อยู่ป่าแล้วก็กลัว ท่านให้นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เล่าถึง เทวาสุรสงคราม เทพกับอสูรรบกัน ท้าวสักกะท่านให้ดูธง ให้ดูยอดธง ไว้เป็นกำลังใจ เขาดูยอดธงก็ไม่กลัวฉันใด ภิกษุทั้งหลายเมื่อเกิดความกลัว ให้ระลึกถึงพระพุทธคุณ ถ้ายังไม่หายก็ระลึกถึงพระธรรมคุณ ถ้ายังไม่หายก็ระลึกถึงพระสังฆคุณ ก็จะหายกลัว ก็คือเอาใจไปไว้ที่อื่น ไม่ไว้ที่ผีหรือที่ความกลัว
3. กล้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัว ขอยกตัวอย่างพุทธจริยา ในภยเภรวสูตร พระสูตรที่แปลว่า พระสูตรที่น่ากลัว พระพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าเอาไว้ว่าเมื่อยังไม่ตรัสรู้ พระองค์ทรงเสพเสนาสนะป่า แล้วก็ทรงสะดุ้งกลัวในบางคราว ทรงมีวิธีฝึกให้หายกลัว โดยยืนอยู่ที่ใด นั่งอยู่ที่ใด เมื่อรู้สึกกลัวก็จะยืนอยู่ตรงนั้นจนกว่าจะหายกลัว เดินอยู่ที่ไหน เกิดความกลัวก็จะเดินอยู่ตรงนั้น นั่งอยู่ตรงไหนเกิดความกลัวก็จะนั่งอยู่ตรงนั้น จนกว่าจะหายกลัว นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งว่า ฝึกลงไปตรงๆ เผชิญหน้ากับความกลัวตรงๆ

ขอบคุณข้อมูลดี ๆจาก http://variety.teenee.com/saladharm/24531.html