Monday, 31 May 2010

วันงดสูบบุหรี่โลก (World No-Tobacco Day) 31 พฤษภาคม



ตั้งแต่ปี ๒๕๓๑ องค์กรอนามัยโลก ได้กำหนดให้วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ของทุกปี เป็นวันงดสูบบุหรี่โลก ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้ทุกประเทศตระหนักถึงอันตราย และความสูญเสียทั้งทางสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคมที่เกิดจากการสูบบุหรี่ ได้ประกาศให้มีการรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ โดยใช้ชื่อว่า World Spidemic หรือการสูบบุหรี่เป็นโรคระบาดที่ระบาดอยู่ทั่วโลก
และประกาศเตือน เยาวชนที่เริ่มสูบบุหรี่ เมื่ออายุยังน้อย และสูบเป็นประจำ จะเสียชีวิตก่อนอายุขัยปกติ (ประมาณ ๗๐-๘๐ ปี) ถึง ๒๒ ปี
องค์การอนามัยโลกระบุชัดเจนว่า การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุสำคัญของการป่วยและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ที่สามารถป้องกันได้ และกำหนดให้ วันที่ 31 พฤษภาคม ของทุกปีเป็นวันงดสูบบุหรี่โลก ( World No Tobacco Day) ซึ่งในปีนี้ ได้กำหนดประเด็นการรณรงค์เพื่อให้ทุกภาคส่วนดำเนินการไปในทิศทางเดียวกัน และให้บุคลากรสาธารณสุขมีส่วนร่วมในการรณรงค์ควบคุมการบริโภคยาสูบ ภายใต้คำขวัญว่า “Health Professionals Against Tobacco” หรือ “ ทีมสุขภาพร่วมใจ ขจัดภัยบุหรี่” โดยกระทรวงสาธารณสุขและเครือข่ายได้กำหนดให้ใช้ดอกลีลาวดีเป็นสัญลักษณ์ในการรณรงค์
ดอกลีลาวดี

ดังนั้นรัฐบาลไทย ได้ตระหนักถึงความสูญเสียชีวิตของประชากร ที่เกิดจากการสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่อง มาเป็นเวลาหลายปี ให้รับทราบถึงอันตราย โทษของการสูบบุหรี่ ซึ่งก็เป็นที่รู้ๆ กัน แต่จะให้เลิกสูบเลย เป็นเรื่องที่ยากมาก สำหรับผู้ที่ติดบุหรี่แล้ว
จึงได้มีการรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่ และกำหนดมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลนำมาใช้ โดยการดูแลของกระทรวงสาธารณสุข ผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และบุคลากรสาธารณสุข ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผู้สูบบุหรี่ พยายามเลิกสูบบุหรี่ไม่ว่าจะเลิกได้สำเร็จหรือไม่ก็ตาม ดังเช่น เมื่อเร็วๆนี้ กระทรวงสาธารณสุข ประกาศบังคับใช้ มาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้มีการพิมพ์ คำเตือน โทษของการสูบบุหรี่ที่ข้างซอง มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๔๘ เป็นต้นไป

Thursday, 27 May 2010

วันวิสาขบูชา

วันวิสาขบูชา หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า 3 ประการ คือ เป็นวันประสูติ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และปรินิพพาน

ความหมาย คำว่า "วิสาขบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 วิสาขบูชา ย่อมาจาก "วิสา - ขบุรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปเป็นกลางเดือน 7

ความสำคัญ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือเกิด ได้ตรัสรู้ คือสำเร็จ ได้ปรินิพพาน คือ ดับ เกิดขึ้นตรงกันทั้ง 3 คราวคือ

1. ประสูติ เป็นวันประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ณ ลุมพินีสถาน เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีจอ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางได้รับพระบรมราชานุญาต จากพระสวามี ให้แปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ ซึ่งเป็นพระนครเดิมของพระนาง เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น ครั้นพระกุมารประสูติได้ ๕ วัน ก็ได้รับการถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ" ซึ่งต่อมาพระองค์ได้ออกบวช จนบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ (ญาณอันประเสริฐสูงสุด) สำเร็จเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า จึงถือว่าวันนี้เป็นวันประสูติของพระพุทธเจ้า


2. ตรัสรู้ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อนุตตรสัมโพธิญาณ ณ ร่มพระศรีมหาโพธิบัลลังก์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี การตรัสอริยสัจสี่ คือของจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ของพระพุทธเจ้า เป็นการตรัสรู้อันยอดเยี่ยม ไม่มีผู้เสมอเหมือน วันตรัสของพระพุทธเจ้า จึงจัดเป็นวันสำคัญ เพราะเป็นวันที่ให้เกิดมีพระพุทธเจ้าขึ้นในโลกชาวพุทธทั่วไป จึงเรียกวันวิสาขบูชาว่า วันพระพุทธ(เจ้า) อันมีประวัติว่า พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรต่อไป ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดในพระทัย เรียกว่าการเข้า "ฌาน" เพื่อให้บรรลุ "ญาณ" จนเวลาผ่านไปจนถึง ...

* ยามต้น : ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุติญาณ" คือทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่น
* ยามสอง : ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ" คือการรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
* ยามสาม : ทรงบรรลุ "อาสวักขญาณ" คือรู้วิธีกำจัดกิเลสด้วย อริยสัจสี่ ( ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ ซึ่งขณะนั้น พระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา

ธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ (อริยสัจ ๔) หรือ ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ได้แก่...

1. ทุกข์ คือ ความลำบาก ความไม่สบายกายไม่สบายใจ

2. สมุทัย คือ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์

3. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ และ

4. มรรค คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งทุกข์

ทั้ง ๔ ข้อนี้ถือเป็นสัจธรรม เรียกว่า อริยสัจ เพราะเป็นสิ่งที่พระอริยเจ้าทรงค้นพบ เป็นสัจธรรมชั้นสูง ประเสริฐกว่าสัจธรรมสามัญทั่วไป

3. ปรินิพพาน เป็นวันปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ร่มไม้รัง (ต้นสาละ) คู่ ในสาลวโนทยานของมัลลกษัตริย์ ใกล้เมืองกุสินารา เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๑ ปี วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน (ดับสังขารไม่กลับมาเกิดสร้างชาติ สร้างภพอีกต่อไป)

การปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ก็ถือเป็นวันสำคัญของชาวพุทธทั่วโลกเพราะชาวพุทธทั่วโลกได้สูญเสียดวงประทีป ของโลก เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่และครั้งสำคัญชาวพุทธทั่วไปมีความเศร้าสลด เสียใจและอาลัยสุดจะพรรณนา อันมีประวัติว่าเมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมมาเป็นเวลานานถึง ๔๕ ปี ซึ่งมีพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ในระหว่างนั้นทรงประชวรอย่างหนัก

ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน ๖ พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ก็ไปรับภัตตาหารบิณฑบาตที่บ้านนายจุนทะ ตามคำกราบทูลนิมนต์ พระองค์เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทำถวาย ก็เกิดอาพาธลง แต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ในราตรีนั้น ได้มีปริพาชกผู้หนึ่ง ชื่อสุภัททะขอเข้าเฝ้า และได้อุปสมบทเป็นพระพุทธสาวกองค์สุดท้าย เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้ บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" หลังจากนั้นก็เสด็จเข้าดับขันธ์ปรินิพพาน ในราตรีเพ็ญเดือน ๖ นั้น

ความสำคัญของวันวิสาขบูชา

พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และเสด็จดับขันธปรินิพพานเวียนมาบรรจบในวันและเดือนเดียวกัน คือ วันเพ็ญเดือนวิสาขะ จึงถือว่าเป็นวันที่สำคัญของพระพุทธเจ้า หลักธรรมอันเกี่ยวเนื่องจากการประสูติ ตรัสรู้และเสด็จดับขันธปรินิพพาน คือ ความกตัญญู อริยสัจ ๔ และความไม่ประมาท ประวัติความเป็นมา

ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา เนื่องจากมีเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๓ อย่าง เกิดขึ้นในวันเดียวกันคือ ประสูติ ตรัสรู้ธรรม และปรินิพพาน วันวิสาขบูชาตรงกับวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖

ชาวพุทธศาสนิกชนทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับวันวิสาขบูชา นี้ และเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ สหประชาชาติได้ยอมรับญัตติที่ประชุม กำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก และเป็นวันหยุดวันหนึ่งของสหประชาชาติ เพื่อให้ชาวพุทธทั่วโลกได้มีโอกาสบำเพ็ญบุญเนื่องในวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระบรมศาสดา เจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติเมื่อ ๒๖๐๐ กว่าปี ล่วงมาแล้ว
พระ บิดาพระนามว่าพระเจ้าสุทโธทนะ พระมารดาพระนามว่าพระนางสิริมหามายา ก่อนที่พระองค์จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เป็นเจ้าชายในราชสกุลโคตมะ แห่งเมืองกบิลพัสดุ์ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย คำว่า 'พุทธ' หรือ 'พุทธิ' ในภาษาบาลีและสันสกฤตมีความหมายเหมือนกัน แปลว่า ปัญญา หรือ การตรัสรู้

จากคำสอนในพระไตรปิฎกกล่าวว่า พระพุทธเจ้าคือผู้ที่ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงเป็นผู้รู้สัจจธรรม และทรงมีพระญาณทัศนะกว้างไกลที่พระองค์ทรงรู้เห็นกำเนิด และความเป็นไปของสัตว์โลกตลอดภพสาม มีพระพุทธเจ้านับไม่ถ้วนพระองค์ได้อุบัติขึ้นในโลกนี้ เมื่อแต่ละพระองค์ตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐแล้ว ทรงสั่งสอนธรรมะเพื่อให้ชาวโลกพ้นจากวัฏสงสารด้วยมหากรุณา จากพระไตรปิฏก "อปทานสูตร และพุทธวงศ์" กล่าวถึงการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ นานนับอสงไขยกว่าที่จะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ

แม้ในขุททกนิกาย ชาดก ได้เล่าการสร้างบารมีถึง ๕๔๗ ชาติของพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ มาตลอดกว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระชาติสุดท้าย เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงเป็นผู้มีบุญที่เพียบพร้อมด้วยสติปัญญา และความเมตตา หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้เพียง ๗ วัน พระมารดาก็สวรรคต พระน้านางคือพระนางปชาบดีโคตมี เป็นผู้บำรุงเลี้ยงรักษา หลังจากประสูติได้ไม่นาน พระบิดาได้อัญเชิญอสิตดาบสมาทำนายอนาคตของเจ้าชายสิทธัตถะ อสิตดาบสแสดงอาการประหลาดต่อหน้าพระที่นั่งคือ หัวเราะและร้องไห้ หัวเราะเพราะดีใจที่ได้เห็นเจ้าชายสิทธัตถะ และได้ทำนายว่าเจ้าชายจะตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน แต่ร้องไห้เพราะอสิตดาบสนั้นจะมีอายุไม่ยืนยาวทันรับฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์นี้ คำทำนายนี้ได้รับการยืนยันจาก โกณฑัญญะ ซึ่งเป็นดาบสอีกท่านหนึ่งที่ทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะจะสละราชสมบัติ เมื่อผนวชแล้วจะบรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ส่วนดาบสอื่นๆ ล้วนทำนายว่า ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะไม่ทรงผนวช จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ คำทำนายดังกล่าวสร้างความตระหนกพระทัยแก่พระเจ้าสุทโธทนะเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงปรารถนาจะให้เจ้าชายสิทธัตถะปกครองแว่นแคว้นสืบทอดราชบัลลังก์ต่อ จากพระองค์ และเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ จึงทรงป้องกันเจ้าชายสิทธัตถะไม่ให้เห็นความทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวดต่าง ๆ ที่จะทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงรู้สึกเบื่อหน่าย และอยากออกบวช

ด้วยเหตุนี้พระเจ้าสุทโธทนะ จึงทรงมีพระบัญชาให้เหล่าอำมาตย์เสนาบดี ช่วยกันสร้างปราสาทสามฤดูแก่เจ้าชาย ปราสาทแต่ละแห่งแวดล้อมด้วยเหล่าสนมกำนัลที่สวยงาม ชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะก่อนทรงออกผนวช จึงเป็นชีวิตที่เพียบพร้อมด้วย รูปสมบัติ และทรัพย์สมบัติอย่างแท้จริง. เมื่อเจ้าชายทรงพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา พระมเหสีคือพระนางยโสธรา พิมพาประสูติพระโอรส พระนามว่า ราหุล วันหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงรถม้าประพาสสวนนอกเมือง ทรงเห็นคนแก่ คนป่วย คนตาย และนักบวช ภาพคนแก่ คนป่วย และคนตายทำให้พระองค์นึกถึงความทุกข์ และความไม่เที่ยงแท้ของสังขารมนุษย์ ต่อมา

เจ้าชายสิทธัตถะจึงทรงออกจากวัง ถือเพศเป็นนักบวชเที่ยวภิกขาจารไปเพื่อแสวงหาโมกขธรรม วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เมื่อมีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้ธรรม ณ ใต้ควงต้นพระศรีมหาโพธิ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่จะบรรลุธรรม เจ้าชายสิทธัตถะได้แสวงหาผู้สอนวิธีหลุดพ้นแก่พระองค์ ๒ คนคือ อาฬารดาบส และอุทกดาบส ซึ่งทั้งสองนี้สอนพระองค์ให้ได้ญานชั้นสูง แต่ไม่บรรลุธรรม เมื่อพระองค์บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทรงประกาศธรรม เผยแผ่คำสอนที่สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติตามพ้นทุกข์ตามพระองค์ไปได้ พระพุทธองค์ ทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นเวลา ๔๕ ปี ทรงวางรากฐานพระพุทธศาสนา และมีพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ซึ่งในสมัยนั้นมีตั้งแต่ กษัตริย์ เจ้าชาย พ่อค้า แม่ค้า พราหมณ์ เศรษฐี ยาจกเข็ญใจ และชนทุกชั้นในสังคม

ประวัติความเป็นมาของวันวิสาขบูชาในประเทศไทย

วันวิสาขบูชานี้ ปรากฏตามหลักฐานว่า ได้มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ซึ่งสันนิษฐานว่า คงจะได้แบบอย่าง มาจากลังกา กล่าวคือ เมื่อประมาณ พ.ศ. 420 พระเจ้าภาติกุราช กษัตริย์แห่งกรุงลังกา ได้ประกอบพิธีวิสาขบูชาอย่าง มโหฬาร เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา กษัตริย์ลังกาในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็ทรงดำเนินรอยตาม แม้ปัจจุบันก็ยังถือปฏิบัติอยู่ สมัยสุโขทัยนั้น ประเทศไทยกับประเทศลังกามีความสัมพันธ์ด้านพระพุทธศาสนาใกล้ชิดกันมากเพราะ พระสงฆ์ชาวลังกา ได้เดินทางเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนา และเชื่อว่าได้นำการประกอบพิธีวิสาขบูชามาปฏิบัติในประเทศไทยด้วย
ใน หนังสือนางนพมาศได้กล่าวบรรยากาศการประกอบพิธีวิสาขบูชาสมัยสุโขทัยไว้ พอสรุปใจความได้ว่า " เมื่อถึงวันวิสาขบูชา พระเจ้าแผ่นดิน ข้าราชบริพาร ทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ตลอดทั้งประชาชนชาวสุโขทัยทั่วทุก หมู่บ้านทุกตำบล ต่างช่วยกันทำความสะอาด ประดับตกแต่งพระนครสุโขทัยเป็นการพิเศษ ด้วยดอกไม้ของหอม จุดประทีปโคมไฟแลดูสว่างไสวไปทั่วพระนคร เป็นการอุทิศบูชาพระรัตนตรัย เป็นเวลา 3 วัน 3 คือ พระมหากษัตริย์ และบรมวงศานุวงศ์ ก็ทรงศีล และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ ครั้นตกเวลาเย็น ก็เสด็จพระราช ดำเนิน พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และนางสนองพระโอษฐ์ตลอดจนข้าราชการทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ไปยังพระ อารามหลวง เพื่อทรงเวียนเทียนรอบพระประธาน

ส่วนชาวสุโขทัยชวนกันรักษาศีล ฟังธรรมเทศนา ถวายสลากภัต ถวายสังฆทาน ถวายอาหารบิณฑบาต แด่พระภิกษุ สามเณรบริจาคทรัพย์แจกเป็นทานแก่คนยากจน คนกำพร้า คนอนาถา คนแก่ คนพิการ บางพวกก็ชวนกันสละทรัพย์ ปล่อยสัตว์ 4 เท้า 2 เท้า และเต่า ปลา เพื่อชีวิตสัตว์ให้เป็นอิสระ โดยเชื่อว่าจะทำให้คนอายุ ยืนยาวต่อไป"

ในสมัยอยุธยา สมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ด้วยอำนาจอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ เข้าครอบงำประชาชนคนไทย และมีอิทธิพลสูงกว่าอำนาจของพระพุทธศาสนา จึงไม่ปรากฎหลักฐานว่า ได้มีการประกอบพิธีบูชาในวันวิสาขบูชา จนมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2360) ทรงดำริกับ สมเด็จพระสังฆราช (มี) สำนักวัดราชบูรณะ มีพระราชประสงค์จะให้ฟื้นฟู การประกอบพระราชพิธีวันวิสาขบูชาขึ้นใหม่ โดย สมเด็จพระสังฆราช ถวายพระพรให้ทรงทำขึ้น เป็นครั้งแรกในวันขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ. 2360 และให้จัดทำตามแบบอย่างประเพณีเดิมทุกประการ เพื่อมีพระประสงค์ให้ประชาชนประกอบการบุญการกุศล เป็นหนทางเจริญอายุ และอยู่เย็นเป็นสุขปราศจากทุกข์โศกโรคภัย และอุปัทวันตรายต่างๆ โดยทั่วหน้ากัน

ฉะนั้น การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชาในประเทศไทย จึงได้รื้อฟื้นให้มีขึ้นอีกครั้งหนึ่งในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 และถือปฏิบัติมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน

การจัดงานเฉลิมฉลองในวันวิสาขบูชาที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกยุค ทุกสมัย คงได้แก่การจัดงานเฉลิมฉลอง วันวิสาขบูชา พ.ศ.2500 ซึ่งทางราชการเรียกว่างาน " ฉลอง 25 พุทธศตวรรษ " ตั้งแต่วันที่ 12 ถึง 18 พฤษภาคม รวม 7 วัน ได้จัดงานส่วนใหญ่ขึ้นที่ท้องสนามหลวง ส่วนสถานที่ราชการ และวัดอารามต่างๆ ประดับธงทิวและโคมไฟสว่างไสวไปทั่วพระ ราชอาณาจักร ประชาชนถือศีล 5 หรือศีล 8 ตามศรัทธาตลอดเวลา 7 วัน มีการอุปสมบทพระภิกษุสงฆ์รวม 2,500 รูป ประชาชน งดการฆ่าสัตว์ และงดการดื่มสุรา ตั้งแต่วันที่ 12 ถึง 14 พฤษภาคม รวม 3 วัน มีการก่อสร้าง พุทธมณฑล จัดภัตตาหาร เลี้ยงพระภิกษุสงฆ์วันละ 2,500 รูป ตั้งโรงทานเลี้ยงอาหารแก่ประชาชน วันละ 200,000 คน เป็นเวลา 3 วัน ออกกฎหมาย สงวนสัตว์ป่าในบริเวณนั้น รวมถึงการฆ่าสัตว์ และจับสัตว์ในบริเวณวัด และหน้าวัดด้วย และได้มีการปฏิบัติธรรมอันยิ่งใหญ่ อย่างพร้อมเพรียงกัน เป็นกรณีพิเศษ ในวันวิสาขบูชาปีนั้นด้วย


หลักธรรมที่ควรปฏิบัติ

1. กตัญญู กตเวที
ความกตัญญู คือ ความรู้อุปการคุณที่มีผู้ทำไว้ก่อนเป็นคุณธรรมคู่กับ ความกตเวที คือ การตอบแทนอุปการะคุณที่ผู้อื่นทำไว้นั้นผู้ที่ทำอุปการรคุณก่อนเรียกว่า บุพการี ขอยกมากล่าวในที่นี้คือ บิดามารดา และครูอาจารย์ บิดามารดา มีอุปการะคุณแก่บุตร ธิดา ในฐานะเป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ให้การศึกษา อบรมสั่งสอน ให้ละเว้นจากความชั่ว มั่นคงในการทำความดี เมื่อถึงคราวมีคู่ครองได้จัดหาคู่ครอบที่เหมาะสมให้และมอบทรัพย์สมบัติให้ ไว้เป็นมรดก บุตร ธิดา
เมื่อรู้อุปการะคุณที่บิดามารดาทำไว้ย่อมตอบแทนด้วยการ ประพฤติตัวดี สร้างชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูล เลี้ยงดูท่าน และช่วยทำงานของท่าน และเมื่อล่วงลับไปแล้วก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน ครูอาจารย์ มีอุปการะคุณแก่ศิษย์ในฐานะเป็นผู้ประสาทความรู้ให้ ฝึกฝนแนะนำให้เป็นคนดีสอนศิลปวิทยาให้อย่างไม่ปิดบัง ยกย่องให้ปรากฎแก่คนอื่นและช่วยคุ้มครองศิษย์ทั้งหลาย ศิษย์เมื่อรู้อุปการคุณที่ครูอาจารย์ทำไว้ย่อมตอบแทนด้วยการตั้งใจเรียน ให้เกียรติ และให้ความเคารพไม่ล่วงละเมิดโอวาทของครู ความกตัญญูและความกตเวทีนี้ถือว่าเป็นเครื่องหมายของคนดีส่งผลให้ครอบครัว และสังคมมีความสุขได้ เพราะบิดามารดาจะรู้จักหน้าที่ของตนเองด้วยการทำอุปการคุณให้ก่อน และบุตร ธิดา ก็จะรู้จัก หน้าที่ของตนเองด้วยการทำดีตอบแทน

สำหรับ ครูอาจารย์ก็จะรู้จักหน้าที่ของตนเองด้วยการทำอุปการคุณ คือ สอนศิลปวิทยาอย่างเต็มที่และศิษย์ก็จะรู้จักหน้าที่ของตนเอง ด้วยการตั้งใจเรียน และให้ความเคารพเป็นการตอบแทน นอกจากจะใช้ในกรณีของบิดามารดากับบุตรธิดา และครูอาจารย์กับศิษย์แล้ว คุณธรรมข้อนี้ก็สามารถนำไปใช้ได้แม้ระหว่าง พระมหากษัตริย์กับพสกนิกร นายจ้างกับลูกจ้าง เพื่อนกับเพื่อนและบุคคลทั่วไป รวมทั้งมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม

ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงเป็นบุพการีในฐานะที่ทรงสถาปนาพระพุทธศาสนาและทรงสอนทางพ้น ทุกข์ให้แก่เวไนย-สัตว์ พุทธศาสนิกชน รู้พระคุณอันนี้ จึงตอบแทนด้วยอามิสบูชา และปฏิบัติบูชา กล่าวคือ การจัดกิจกรรมในวันวิสาขบูชา เป็นส่วนหนึ่งที่ชาวพุทธแสดงออก ซึ่งความกตัญญูกตเวทีต่อพระองค์ ด้วยการทำนุบำรุงส่งเสริม พระพุทธศาสนา และประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อดำรงอายุพระพุทธศาสนาสืบไป

2. อริยสัจ ๔
อริยสัจ คือ ความจริงอันประเสริฐ หมายถึง ความจริงที่ไม่ผันแปร เกิดมีได้แก่ทุกคนมี ๔ ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิต พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทราบว่า มนุษย์ทุกคนมีทุกข์เหมือนกันทั้งทุกข์ขั้นพื้นฐานและทุกข์เกี่ยวกับการ ดำเนินชีวิตประจำวัน

ทุกข์ขั้นพื้นฐาน คือ ทุกข์ที่เกิดจากการเกิด การแก่ และการตาย ส่วนทุกข์ที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตประจำวันคือ ทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทุกข์ที่เกิดจากการประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ทุกข์ที่เกิดจากการไม่ได้ตามใจปรารถนา รวมทั้งทุกข์ที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตด้านต่างๆ สมุทัย คือ เหตุแห่งปัญหา พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทราบว่า ทุกข์ทั้งหมด ซึ่งเป็นปัญหาของชีวิตล้วนมีเหตุให้เกิดเหตุนั้น คือ ตัณหา อันได้แก่ ความอยากได้ต่างๆ

ซึ่งประกอบไปด้วย ความยึดมั่น นิโรธ คือ การแก้ปัญหาได้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทราบว่า ทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิตทั้งหมดนั้นแก้ไขได้ โดยการดับตัณหา คือ ความอยากให้หมดสิ้น มรรค คือ ทางหรือวิธีแก้ปัญหา พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็ เพื่อให้ทราบว่า ทุกข์คือปัญหาของชีวิตทั้งหมดที่สามารถแก้ไขได้นั้นต้องแก้ไขตามมรรคมีองค์ ๘

3. ความไม่ประมาท
ความไม่ประมาท คือ การมีสติทั้งขณะทำ ขณะพูดและขณะคิด สติ คือ การระลึกรู้ทัน ที่คิด พูดและทำ ในภาคปฏิบัติเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน หมายถึงการระลึกรู้ทันการเคลื่อนไหวอิริยาบถ ๔ คือ เดิน ยืน นั่ง นอน การฝึกให้เกิดสติ ทำได้โดยตั้งสติกำหนดการเคลื่อนไหวอิริยาบถกล่าวคือ ระลึกรู้ทันในขณะยืน เดิน นั่งและนอน รวมทั้งระลึกรู้ทันในขณะพูดขณะคิด และขณะทำงานต่างๆ

ในวันนี้พุทธศาสนิกชนต่างพากันน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยการไปชุมนุมตามพระอารามต่าง ๆ เพื่อกระทำการบูชาปูชนียวัตถุอันได้แก่ พระธาตุเจดีย์หรือพระพุทธปฏิมา ที่เป็นพระประธานในพระอุโบสถอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยเครื่องบูชามีดอกไม้ ธูปเทียน เป็นต้น เริ่มด้วยการสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ด้วยบทสวดมนต์ตามลำดับดังนี้คือ

บทสรรเสริญ พระพุทธคุณ

อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปนโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสสะธัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ บทสรรเสริญ พระธรรมคุณ

สวากขาโต ภะคะวา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ. บทสรรเสริญ พระสังฆคุณ

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสสะ ยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระนีโย อะนุตตะรัง ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ

จากนั้นก็จะกระทำ ประทักษิณ หรือที่เรียกว่า เวียนเทียน รอบพระธาตุเจดีย์ หรือพระพุทธปฎิมาในพระอุโบสถ ด้วยการเดินเวียนขวาสามรอบ รอบแรกจะสวดบทสรรเสริญพระพุทธคุณ รอบที่สองจะสวดบทสรรเสริญพระธรรมคุณ และรอบที่สามสวดบทสรรเสริญพระสังฆคุณ เมื่อครบ 3 รอบแล้วจึงนำดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาพระธาตุเจดีย์ หรือพระพุทธรูปในพระอุโบสถ ณ ที่บูชาอันควรเป็นอันเสร็จพิธีเวียนเทียน

จากนั้นก็จะมีการแสดงพระธรรมเทศนาในพระอุโบสถ ซึ่งปกติจะมีเทศน์ ปฐมสมโพธิ ซึ่งเป็นเรื่องพระพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน พิธีเริ่มตั้งแต่ประชุมฟังพระทำวัตรสวดมนต์ แล้วจึงฟังเทศน์ซึ่งจะมีไปตลอดรุ่ง
thanks:
http://campus.sanook.com/ประวัติ-วันวิสาขบูชา-921748.html

Sunday, 16 May 2010

มารู้จักกับ"ปืนซุ่มยิงระยะไกล" (Sniper)


การยิงหวังผลในระยะไกลต้องการอาวุธที่มีความแม่นยำและอำนาจการทำลายสูงและนี่คือปืนสไนเปอร์ที่มีประจำการอยู่ในกองทัพทั่วโลก..

ปืนไรเฟิลซุ่มยิงระยะไกลคือหนึ่งในอาวุธที่มีบทบาทในการปัฎิบัติการรบทางยุทธวิธีและต่อเป้าหมายทีี่มีความสำคัญและส่งผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจของ ฝ่ายตรงกันข้าม มันคืออาวุธที่ถูกออกแบบเพื่อการยิงในระยะไกลด้วยกระสุนความเร็วสูงจากการ ยิงของสไนเปอร์หรือพลซุ่มยิง

Sniper
พลซุ่มยิง (Sniper) คือผู้ที่มีความสามารถสูงในเรื่องของการยิงปืนในระยะไกล ซึ่งได้รับการฝึกฝนการยิงเป้าหมายในสถาณการต่างๆที่ต้องใช้ความสามารถในเรื่องของการยิงปืน เรื่องของความอยู่รอด (survivability) ในพื้นที่ต่างๆ เป็นระยะเวลานาน เช่น ในป่า หรือ ในพื้นที่สิ่งก่อสร้าง หน้าที่ของพลซุ่มยิงคือ การวางวิถีกระสุนอย่างแม่นยำไปยังฝ่ายข้าศึก ซึ่งทหารในหน่วยต่างๆ ไม่สามารถทำการยิงได้ ทั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะระยะทาง ขนาดของกำลังข้าศึก ที่ตั้งฝ่ายข้าศึก หรือว่าการมองเห็น


ผู้ที่จะเป็นพลซุ่มยิงได้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีลักษณะที่พิเศษอย่างดังตัวอย่างในระเบียบราชการสนาม 23-10 การฝึกพลซุ่มยิง (FM-23-10 Sniper Training) ของกองทัพบกสหรัฐฯ ได้มีแนวทางในการคัดเลือกกำลังพลเข้าทำการฝึกเป็นพลซุ่มยิงจะมีข้อพิจารณาอยู่ด้วยกัน 6 ประการ คือ

1. แม่นปืน ผู้ที่จะเข้ารับการฝึกเป็นพลซุ่มยิงจะต้องมีความสามารถในการยิงปืนดีเลิศ ถ้าผ่านการแข่งขันทางด้านการยิงปืน หรือการล่าสัตว์มาก่อนจะเป็นข้อได้เปรียบในการคัดเลือกเข้ารับการฝึก

2. ร่างกายต้องพร้อม ผู้ที่จะเข้ารับการฝึกเป็นพลซุ่มยิง จะต้องเป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง และถ้าเคยผ่านการเป็นนักกีฬาในประเภทต่างๆ ก็จะได้เปรียบในการคัดเลือกเข้ารับการฝึก

3. สายตาและความสามารถในการมอง ผู้ที่จะเข้ารับการฝึกจะต้องเป็นผู้ที่ไม่ใส่แว่นสายตา เพราะจะเป็นการเสี่ยงต่อความล้มเหลวของภารกิจเมื่อแว่นสายตาชำรุด หรือสูญหายในพื้นที่ปฏิบัติการ นอกจากนี้จะต้องไม่ตาบอดสี เพราะจะมีปัญหาในการแยกเป้าหมายจากสิ่งแวดล้อม

4. ไม่สูบบุหรี่ ผู้ที่เข้ารับการฝึกจะต้องไปเป็นผู้ที่สูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่จะเป็นการเปิดเผยที่ตั้งของตนเอง นอกจากนี้การปฏิบัติงานจริงจะต้องอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถสูบบุหรี่ได้เป็นระยะเวลานาน การที่ไม่สูบบุหรี่เป็นระยะเวลานานของผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำจะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการยิงลดลง

5. มีความมั่นคงทางอารมณ์สูงกว่าคนปกติ ผู้ที่เข้ารับการฝึก จะต้องเป็นผู้ที่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีในภาวะต่างๆ เพราะการปฏิบัติงานจริงอาจจะต้องตกอยู่ในภาวะที่มีความกดดันสูง การลั่นไก ณ เวลา และสถานที่ที่เหมาะสม เป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งต่อการปฏิบัติงานของพลซุ่มยิง

6. ความคิดและระดับสติปัญญา ผู้ที่เข้ารับการฝึกนั้นจะต้องเรียนรู้เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับขีปนวิธีของกระสุนในลักษณะต่างๆ การปรับแต่งอุปกรณ์ช่วยเล็ง การใช้วิทยุสื่อสาร การตรวจการณ์ และการปรับการยิง เครื่องยิงลูกระเบิดและปืนใหญ่ การเดินแผนที่และเข็มทิศ การรวบรวมและรายงานข่าวสาร และการพิสูจน์ฝ่ายและอาวุธยุทโธปกรณ์

ในหนึ่งชุดซุ่มยิงลาดตระเวน จะประกอบไปด้วย กำลังพล 2 นาย คือ 1. พลซุ่มยิง (Sniper) เป็นผู้ที่ทำหน้าที่ในการซุ่มยิง และ 2. พลชี้เป้า (Spotter) เป็นผู้ที่ทำหน้าที่วัดระยะจากที่วางตัวไปยังเป้า หมายแล้วแจ้งให้พลซุ่มยิงทราบ

อาวุธของพลซุ่มยิงหรือหน่วยสไนเปอร์
การยิงเป้าหมายจากระยะไกลต้องใช้ปืนที่มีความแม่นยำสูง มีกระสุนที่มีรัศมีทำการไกลกว่าปกติเนื่องจากเป็นกระสุนความเร็วสูงที่ถูกออกแบบให้ใช้กับปืนยาวแบบลูกเลื่อนสไลด์ ซึ่งอาจมีขนาดของกระสุนที่แตกต่างกันไปตามการใช้งาน ในแต่ละสถานการณ์ และนี่คือบรรดาอาวุธยิงระยะไกลที่มีใช้งาน อยู่ในกองทัพและหน่วยรบพิเศษทั่วโลก

Sig SSG 3000
ปืนไรเฟิลที่มีรากฐานการผลิตมาจากกองทัพของสวิสโดยร่วมมือกันพัฒนาโครงตัวปืนกับบริษัท Jp Sauer And Sohn ประเทศเยอรมนีใช้กระสุนขนาด .308 วินเชสเตอร์ (หรือขนาด 7.62 มิลลิเมตร นาโต) ขึ้นลำโดยใช้ระบบลูกเลื่อนหรือ Bolt-Action มีความยาวรวม 1,180 มิลลิเมตร ตั้งแต่ปลายลำกล้องจรดพานท้ายใช้ระบบเกลียวลำกล้อง 4 เกลียว เพื่อความแม่นยำสูง ความเร็วในขณะที่กระสุนพ้นปากลำกล้อง 2,400 ฟุตต่อวินาที ซองกระสุนขนาดบรรจุ 5 นัด มีน้ำหนักรวมเมื่อติดกล้องเล็งระยะไกลประมาณ 6.2 กิโลกรัม กับกำลังขยายของกล้องเล็งที่ 1.5-6X มีระยะยิงหวังผลไกลกว่า 800-1,000 เมตร เป็นอย่างต่ำ



Dragunov
ดรากูนอฟ เป็นไรเฟิลอัตโนมัติในรุ่นที่ดัดเเปลงกลไกภายในและรูปแบบของตัวปืนจากปืนไรเฟิลตระกูล AK ของรัสเซีย เเละทำให้มันกลายเป็นสไนเปอร์ไรเฟิล ด้วยการดัดเเปลงลำกล้องให้ยาวขึ้นเปลี่ยนพานท้ายปืนเเละเพิ่ม feeder ปัจจุบันดรากูนอฟ (SVD) ถูกใช้อย่างเเพร่หลายในกองกำลังทางทหารของกลุ่มประเทศแถบยุโรปตะวันออกเเละรัสเซีย ปืนกระบอกนี้สามารถเล็งเป้าหมายที่เคลื่อนที่ด้วยรวดเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพเเละมีความเเม่นยำสูงมาก ด้วยกล้องเทเลโฟโต้เลนส์รุ่น PSO-1M2 สามารถปรับความเร็วการยิงได้โดยใช้การทำงานของระบบเเก๊ส ทำให้เกิดความปลอดภัยในการยิงเเละการควบคุมปืน FR-F2
FR-F2 ถูกดัดเเปลงมาจาก ปืนไรเฟิล FR-F1 ที่ใช้มาตั้งเเต่ช่วงยุค 1970 ลำกล้องของปืนใส่อุปกรณ์ป้องกันความร้อนเข้าไป เเม้ว่าจะวางไว้กลางเเดดเป็นเวลานานก็ไม่มีผลใดๆ ต่อลำกล้องของปืน มันเป็นสไนเปอร์ไรเฟิลระบบโวลท์ เเอคชั่น ถูกใช้อยู่ในหน่วย GIGN มีลูกกระสุนขนาด 7.62 มม.เเละติดกล้องซูมได้ถึง 8 เท่า



PSG
PSG (Prazisions Sharfschutzen Gewehr-1) ปืนสไนเปอร์ไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติของบริษัท H&K ชื่อของมันหมายถึงปืนที่เเม่นยำ ผลิตโดยใช้โครงสร้างของปืนแบบ G3 โมเดล เเต่เมื่อพัฒนาเสร็จสมบูรณ์เเล้ว กลับมีความเเตกต่างกับ G3-SG1 โดยสิ้นเชิง มันเป็นปืนที่มีน้ำหนักเกินกว่า 8 กิโลกรัมเเละมีความเเม่นยำสูงมากที่สุด เเละยังได้รับการประเมินว่าเป็นปืนที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด ในภารกิจการต่อต้านการก่อการร้ายของสไนเปอร์ไรเฟิลที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน (ลูกระสุนมี 50 นัด เมื่อยิงในระยะ 100 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางของเป้าหมายจะเท่ากับ 6.99 มม., เมื่อยิงในระยะ 300 เมตรจะเท่ากับ 80 มม.) เเต่ไม่มีเหตุผลที่จะใช้งานสำหรับภารกิจทางทหารทั่วๆ ไป เนื่องจากตัวปืน และอุปกรณ์มีราคาสูงมาก ระบบภายในตัวปืนมีความแข็งแกร่งไม่มากเท่าปืนไรเฟิลจากรัสเซีย การใช้งานต้องระวังไม่ให้ตัวปืนโดนฝุ่นดินหรือโคลน การมีน้ำหนักมากเกินไปของมันกลับทำให้เกิดความเเม่นยำมากกว่าปกติเนื่องจากความเสถียรในการออกแบบลำกล้องและพานท้าย




Barrett M82A1
king of50caliber sniper rifles
ปืนซุ่มยิงระยะไกลที่มีอำนาจการยิงรวมถึงอำนาจในการทำลายล้างสูง ได้รับการพัฒนาโดยบริษัท Barrett Firearms สหรัฐอเมริกาเป็นปืนซุ่มยิงที่ประจำอยู่ในหลายหน่วยงานทางทหารทั่วโลกและเข้าร่วมปฏิบัติการในสงครามหลายครั้งแล้ว มันเป็นปืนซุ่มยิงที่มีระบบกลไกกึ่งอัตโนมัติ มีรังเพลิงขนาดใหญ่ที่ใช้กับลูกกระสุนความเร็วสูงขนาด 50 มิลลิเมตร ที่มีอำนาจการทำลายสูงมากที่สุดในกลุ่มปืนซุ่มยิง ด้วยประสิทธิภาพการยิงที่แม่นยำที่ระยะ 1,500 เมตร รวมทั้งสถิติการยิงที่ระยะ 2,500 เมตร กระสุนที่มีพลังงานสูงมีประสิทธิภาพมากเกินพอที่จะยิงเพื่อหยุดยั้งการเคลื่อนของเป้าหมายที่มีการหุ้มเกราะ สามารถปฎิบัติการต่อเป้าหมายที่สำคัญ เช่น หอควบคุมเรดาห์ รถบรรทุก รถสายพานลำเลียงพล หรืออากาศยานที่บินในระดับต่ำ กล่าวกันว่าแม้กระสุนของมันจะกระทบเป้าอย่างจังไปแล้วก็ตามก็ไม่อาจได้ยินเสียงปืนเนื่องจากการยิงมาจากระยะที่ไกลกว่าปืนไรเฟิลซุ่มยิงทุกชนิดที่มีใช้งานอยู่ในปัจจุบัน

Wednesday, 12 May 2010

ประวัติวันพืชมงคล


พระราชพิธิพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพิธีกรรม 2 พิธีที่กระทำร่วมกัน คือ

1. พิธีพืชมงคล
2. พิธีแรกนาขวัญ

พิธีพืชมงคลแรกนาขวัญ เป็นพิธีทำขวัญเมล็ดพืชต่าง ๆ เช่น ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวฟ้าง ข้าวโพด ถั่ว งา เผือก มัน เป็นต้น ฯลฯ มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้น ปราศจากโรคภัยและให้อุดมสมบูรณ์เจริญงอกงาม

พิธีแรกนาขวัญ เป็นพิธีเริ่มต้นการไถนาเพื่อหวานเมล็ดข้าว มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เป็นอาณัติสัญญาณว่า บัดนี้ฤดูกาลแห่งการทำนาและเพาะปลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว
พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ มีมาตั้งแต่ครั้งโบราณ ในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้กล่าวถึงพระราชพิธีแรกนาขวัญไว้ดังนี้

การแรกนาที่ต้องเป็นธุระของผู้ซึ่งเป็นใหญ่ในแผ่นดินเป็นธรรมเนียมโบราณ เช่น ในเมืองจีนเมื่อสี่พันปีล่วงมาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงไถนาเองเป็นคราวแรก ส่วนจดหมาย ส่วนจดหมายเรื่องราวอันใดในประเทศสยามนี้ ที่ปรากฏอยู่ในการแรกนานี้ก็มีอยู่เสมอ ด้วยการนี้ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินทำเองเช่นนี้ ก็เพื่อเป็นตัวอย่างแก่ราษฎร ชักนำให้มีความมั่นใจในการทำนา เพราะเป็นสิ่งสำคัญจะได้เลี้ยงชีวิตทั่วหน้า
การแรกนาขวัญในกรุงเทพ นี้ มีเสมอมาตั้งแต่รัชกาลไม่ได้ยกเว้น แต่ถือเป็นตำแหน่งเจ้าพระยาพลเทพคู่กับยืนชิงช้า เจ้าพระยาพลเทพแรกนายืนชิงช้าผู้เดียว ไม่ได้ผลัดเปลี่ยน ครั้นต่อมาภายหลังเมื่อเจ้าพระยาเทพพลป่วย ก็โปรดให้พระยาประชาชีพแทนบ้าง
ในครั้งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เกือบตกเป็นธรรมเนียมว่าผู้ใดยืนชิงช้าผู้นั้นเป็นผู้แรกนาด้วย
ครั้นมาในสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรแรกนาที่ทุ่งส้มป่อยครั้งหนึ่ง ภายหลังโปรดให้มีการแรกนาที่กรุงเก่าและที่เพชรบุรี และทรงเพิ่มพิธีสงฆ์นอกเหนือจากเมื่อก่อน มีเฉพาะพิธี เมื่อทรงเพิ่มพิธีสงฆ์ในพระราชพิธีต่าง ๆ จึงได้เพิ่มในจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนี้ด้วย แต่ยกเป็นพิธีหนึ่งตากหากเรียกว่าพืชมงคล พราหมณ์ และทรงสร้างหอพระเป็นที่ไว้พระคันธารราษฏร ์ เมื่อโปรดให้มีพระราชพิธีพืชมงคลขึ้น จึงได้มีนางเทพีสี่คน จัดเจ้าจอมเถ้าแก่ที่มีทุนรอนพาหนะพอจะแต่งตัวและที่เครื่องใช้ไม้สอย ติดตามไปหาบกระเช้าข้าวโปรย เมื่อวันสวดมนต์พระราชพิธีพืชมงคล ก็ให้ฟังสวดพร้อมด้วยพระยาแรกนาและให้มีการราชบัณฑิตเชิญพระเต้าเทวบิฐ ซึ่งเป็นพระเจ้าเกิดในสมัยรัชกาลนั้นประพรมที่แผ่นดินนำหน้าพระยาที่แรกนา
พระราชพิธีนี้ ในเวลาบ่ายวันที่จะสวดมนต์ก็มรกระบวนการแห่พระพุทธรูป ออกไปจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระราชพิธีจรดพระนังคัล เริ่มแต่บ่ายวันสวดมนต์พระราชพิธีพืชมงคล มีกระบวนแห่ๆ พระเทวรูปพระอิศวร 1 พระอุมาภควดี 1 พระนารายณ์ 1 พระมหาวิฆเนศวร 1 พระพลเทพแบกไถ 1 กระบวนแห่ มีธง มีคู่แห่เครื่องสุงกลองชนะ คล้ายกันกับที่แห่พระพุทธรูป เป็นแต่ลดหย่อนลงมาบ้าง ออกจากพระบรมมหาราชวังไปทางบก เข้าโรงพิธีทุ่งสัมป่อยหน้าหลวง เวลาค่ำพระมหาราชครูพิธีทำการพระราชพิธีเหมือนอย่างพิธีทั้งปวง วันรุ่งขึ้นเวลาตั้งแต่เช้า กระบวนแห่ต่าง ๆ พระยาผู้แรกนา กำหนดเกณฑ์คนเข้ากระบวนแห่ 500 กระบวน เมื่อถึงโรงพระราชพิธีเข้าจุดเทียนบูชาพระพุทธรูป แล้วตั้งจิตอธิษฐานจับผ้า 3 ผืน เมื่อจับได้ผ้าผืนใดก็นุ่งผ้าผืนนั้น นุ่งอย่างบ่าวขุนออกไปแรกนา มีราชบัญฑิตคนหนึ่ง เชิญเต้าเทวบิฐประน้ำพระพุทธมนต์ไปหน้า พราหมณ์เชิญพระพลเทพคนหนึ่งเป่าสังฆ์ 2 คน พระยาจับยามไถ พระมหาราชครูพิธียืนประตักด้านหุ้มแดงไถดะ ไปโดนรี 3 รอบ แล้วไถแปรโดยกว้าง 3 รอบ นางเทพีทั้งสี่จึงหาบกระเช้าข้าวปลูก กระเช้าทอง 2 คน กระเช้าเงิน 2 คน ออกไปให้พระยาโปรยหว่านข้าว และไถกลบอีกสามรอบ หลังจากนั้นปลดพระโคออกกินเลี้ยงของเสี่ยงทาย 7 สิ่ง คือ ข้าวเปลือก ข้าวโพด ถั่ว งา เหล้า น้ำ หญ้า ถ้าพระโคกินสื่งใดก็จะมีคำทำนาย

ความสำคัญของวันพืชมงคล
การเกษตรกรรมนับว่ามีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมวลมนุษย์อย่างมาก เพราะธัญญาหารที่บรรดาเหล่าเกษตรกรปลูกได้ในแต่ละปี ถูกนำมาใช้เป็นอาหาร ดัดแปลงเป็นอุปโภคต่าง ๆ เช่น ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค
วันพืชมงคล เป็นวันที่จัดขึ้นเพื่อเกี่ยวกับการเพาะปลูก เนื่องจากเห็นความสำคัญของการเมล็ดพืชพันธุ์อันเป็นปัจัจัยสำคัญต่อวิถีการผลิตแบบพึ่งพิงธรรมชาติ นอกเหนือจาการมีแผนดินที่อุดมสมบูรณ์ น้ำฝนที่มีปริมาณเพียงพอ และปัจจัยอื่น ๆ แล้ว หากได้เมล็ดพืชพันธุ์ที่ได้รับการเลือกสรร รวมทั้งเกษตรกรมีขวัญกำลังใจ มีความเชื่อมั่นในการลงทุนเพาะปลูก ทางราชการหรือผู้ปกครองตนให้การดูแลเอาใจใส่ การเกษตรของประเทศจะพัฒนามากยิ่งขิ้น
ด้วยเหตุนี้ ทุกปีทางราชการจึงจัดให้มีพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญขึ้น โดยกำหนดในเดือนพฤษภาคม ของทุกปี

พิธีกรรมในปัจจุบัน
พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญในปัจจุบันได้ดำเนินตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี เว้นแต่บางอย่างได้มีการดัดแปลงให้เหมาะสมกับกาลสมัย อาทิ พิธีของพราหมณ์ก็มีการตัดทอนให้เหลือน้อยลง พระยาแรกนาขวัญก็ให้ตกเป็นหน้าที่ของปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรพระราชพิธีทุกปี มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทูตานุฑูต และประชาชนจำนวนมากมาชมการแกรนาขวัญ
เมื่อเสร็จพิธี ประชาชนจะพากันแย่งเก็บเมล็ดข้าว นำไปผสมกับพันธุ์ข้าวที่ปลูกหรือเก็บไว้เป็นถุงเงินเพื่อความเป็นสิริมงคล

กิจกรรมต่าง ๆ ที่ควรกระทำในวันพืชมงคล
1. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการ
2. จัดนิทรรศการ แสดงประวัติความเป็นมา และความสำคัญของวันพืชมงคลรวมทั้งพระราชพิธีนังคัลแระนาขวัญ

หมายเหตุ วันพืชมงคลในแต่ละปีจะไม่ตรงกัน

thanks 4 http://campus.sanook.com/ประวัติวันพืชมงคล-921418.html

Monday, 10 May 2010

เตือนหน้าร้อนระวังโรคจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญมาตรฐานต่ำ


กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เตือนอันตรายจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญไม่ได้มาตรฐาน เสี่ยงโรคที่เกิดจากน้ำเป็นสื่อในช่วงหน้าร้อน แนะเลือกใช้บริการจากตู้ที่ไม่ชำรุด มีสภาพสมบูรณ์

ดร.นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยถึงการเลือกใช้บริการน้ำดื่มจากตู้หยอดเหรียญอย่างปลอดภัยในช่วงหน้าร้อนว่า ปัจจุบันตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญมีให้บริการแพร่หลายมากขึ้น ทำให้ประชาชนสะดวกในการบรรจุขวด โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อนจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น ทำให้ความต้องการน้ำดื่มมีมากขึ้นตามไปด้วย ก่อนเลือกใช้บริการจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ จึงควรให้ความใส่ใจต่อมาตรฐานของตู้น้ำดื่มที่ให้บริการตามจุดต่างๆ ด้วย เพราะหากน้ำดื่มภายในตู้ไม่สะอาด หรือมีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ในน้ำจะส่งผลกระทบต่อการเจ็บป่วย ด้วยโรคที่เกิดจากน้ำเป็นสื่อตามมาได้

จากสถิติการเฝ้าระวังโรคติดต่อจากน้ำและอาหาร โดยเฉพาะ โรคอุจจาระร่วงตั้งแต่เดือนมกราคม - 16 มีนาคม 2553 ทั่วประเทศ พบผู้ป่วยรวม 238,026 ราย เสียชีวิต 25 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 377.59 ต่อประชากรแสนคน อัตราการตาย 0.04 ต่อประชากรแสนคน นอกจากนี้ยังเป็นสาหตุ ทำให้เกิดการเจ็บป่วยด้วยโรคระบบทางเดินอาหารอื่นๆ เช่น โรคบิด ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ ไวรัสตับอักเสบเอ

ดร.นพ.สมยศ กล่าวต่อไปว่า การเลือกใช้บริการตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญแต่ละครั้งให้สังเกตสภาพภายนอกตู้ต้องสะอาด ไม่สกปรก ทำจากวัสดุที่แข็งแรง ทนทาน ไม่ผุกร่อน หรือเป็นสนิมจนน่ารังเกียจ จุดติดตั้งต้องมีความสะอาดโดยรอบ ตั้งอยู่บนพื้นที่เหมาะสม มีสุขอนามัย ไม่ใกล้ถังขยะหรือสิ่งปฏิกูล ช่องรับน้ำภายในตู้ต้องสะอาด มีฝาปิดมิดชิด ไม่เป็นคราบสกปรก ปราศจากฝุ่นละอองและคราบอื่นใด หัวจ่ายน้ำต้องเป็นวัสดุที่เหมาะสม เช่น สแตนเลสไม่ควรเป็นท่อพลาสติกหรือสายยาง และที่สำคัญต้องสะอาดไม่เป็นตะไคร่หรือมีสิ่งสกปรกบริเวณ หัวจ่ายน้ำ ซึ่งต้องไม่มีกลิ่นทุกชนิดปนมากับน้ำหรือมีกลิ่นโชยขณะกดน้ำ หรือจากช่องจ่ายน้ำ รวมทั้งมีสติกเกอร์การตรวจรับรองที่มีมาตรฐาน น่าเชื่อถือ และต้องระบุชื่อผู้ตรวจ ชื่อบริษัท วันเวลาที่มาตรวจด้วย

“ทั้งนี้ ควรให้ความสำคัญกับการนำขวดพลาสติกหรือภาชนะอื่นๆ มารองน้ำจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ โดยหมั่นทำความสะอาดภาชนะเหล่านั้นเป็นประจำ และก่อนการนำมาใช้ซ้ำทุกครั้งต้องล้างขวดให้สะอาด โดยใช้น้ำเขย่าให้ทั่วภาชนะแล้วเททิ้ง ทำเช่นนี้ประมาณ 1-2 ครั้ง แต่ถ้ามีเวลามากพอก็ควรจะล้างภาชนะดังกล่าวด้วย น้ำยาล้างจาน โดยใช้แปรงขนอ่อนขัดล้าง ไม่ควรใช้แปรงขนแข็งเพราะจะทำให้เกิดรอยขีดข่วนและเป็นแหล่งสะสมเชื้อจุลินทรีย์ จากนั้นจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด เสร็จแล้วจึงนำไปเติมน้ำจากตู้น้ำต่อไป” อธิบดีกรมอนามัยกล่าวในที่สุด
บทความจาก..เว็บ สสส.

หัวฝักบัว แหล่งสะสมเชื้อโรคที่ไม่ควรมองข้าม


ใครที่ใช้ฝักบัวอาบน้ำอยู่เป็นประจำต้องมาฟังทางนี้เลยนะคะ เพราะหากคุณไม่ระวัง อาจเป็นที่มาของโรคปอดในไม่ช้าแน่นอนค่ะ

เนื่องจากได้มีการสุ่มตรวจวิเคราะห์หาเชื้อโรคในหัวฝักบัวตามสถานที่ต่างๆ กว่า 9 เมือง พบว่าร้อยละ 30 มีเชื้อมัยโคแบคทีเรียม เอเวียม ปนเปื้อนอยู่มาก ตามปกติเชื้อตัวนี้พบในน้ำประปาทั่วไป แต่สะสมอยู่ในหัวฝักบัวมากกว่าระดับที่พบในน้ำประปาถึง 100 เท่า ซึ่งหากผู้ใช้เปิดให้น้ำจากฝักบัวโดนหน้าตั้งแต่ครั้งแรก จะทำให้ได้รับเชื้อดังกล่าวสูงมาก และเสี่ยงต่อการเป็นโรคปอดตามมา

จากการตรวจพบอีกว่าในฝักบัวแบบที่เป็นโลหะจะพบการสะสมของเชื้อโรคน้อยกว่าแบบพลาสติก ดังนั้นการแก้ไขผู้ใช้ก็ควรเปลี่ยนหัวฝักบัวมาใช้แบบโลหะที่มีตัวกรองช่วยในการลดการสะสมของเชื้อโรค หรือเปลี่ยนไปอาบน้ำในอ่างแทน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการรับเชื้อเข้าสู่ปอดได้เช่นกัน

Friday, 7 May 2010

เปลี่ยนชีวิตด้วยวิถีแห่งโดราเอมอน


ไม่ว่าจะเติบโตมากับยุคสมัยไหน เชื่อได้อย่างหนึ่งว่า "โดราเอมอน" ผลงานเขียนของ "ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ" เป็นหนึ่งในตัวการ์ตูนในดวงใจของเด็กๆ จำนวนมาก
ในประเทศญี่ปุ่นบ้านเกิดของโดราเอมอนเองได้ประกาศให้โดราเอมอนเป็นวรรณกรรมเอกประจำชาติเรื่องหนึ่ง และผู้อ่านโดราเอมอนก็พัฒนาระดับการอ่านจากอ่านเพื่อความบันเทิงหรือเพื่อจรรโลงใจเป็นอ่านในเชิงวิเคราะห์เจาะลึกประเด็นต่างๆ เกิดเป็นศาสตร์ที่เรียกว่า "โดราเอมอนศึกษา" ขึ้นมา โดย "โยโกยาม่า ยาสุยุกิ" ก็ได้เป็นอาจารย์สอนวิชานี้อยู่ด้วย ที่มหาวิทยาลัยฟุคุยะมา และเป็นผู้ก่อตั้ง "ห้องสมุดโดราเอมอน" และผู้สร้างโฮมเพจ "หลักสูตรโดราเอมอนศึกษา"

ก่อนหน้าหนังสือ "วิถีแห่งโดราเอมอน ฝึกสอนคนขี้แพ้ให้เป็นผู้ชนะ" มีหนังสือชื่อ "วิถีแห่งโนบิตะ ชัยชนะของคนไม่เอาถ่าน" ออกมาก่อนแล้ว โดยผู้เขียนคนเดียวกัน จากหนังสือการ์ตูนบันเทิงใจเด็กๆ กลายเป็นเป็นหนังสือ how to ที่สามารถแนะนำคนขี้แพ้ คนไม่เอาถ่าน ลุกขึ้นมาทำหลายๆ เรื่อง ที่นำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตได้

พอมาถึงหนังสือเล่มนี้ จะถูกมองในอีกมุมหนึ่ง นั้นคือวิถีแห่งโดราเอมอน ทำอย่างไรถึงสามารถทำให้ "โนบิตะ" คนขี้เกียจ ชอบนอนกลางวัน ไม่ชอบทำอะไรใหม่ๆ ที่คิดว่ายาก ตัวเองทำไม่ได้หรอก ไม่ชอบทำอะไรที่ต้องออกแรง ใช้กำลัง และอีกมากมายก่ายกอง ที่เสมือนเป็นหลุมดำในจิตใจของโนบิตะ และหากสิ่งเหล่านี้ยังสั่งสมต่อไปเรื่อยๆ อนาคตของโนบิตะคงหนีไม่พ้นคำว่าล้มเหลวในชีวิต

" นั่นเพราะหลายสิ่งที่โดราเอมอนปฏิบัติต่อโนบิตะนั้นล้วนมีความหมาย "

แม้ว่าในทุกๆ เหตุการณ์ ในทุกๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับโนบิตะ จะมีโดราเอมอนคอยเป็นผู้ช่วย แต่ถ้าสังเกตดีๆ โดราเอมอนไม่เคยทุ่มลงไปทั้งตัว เพียงแต่คอยชี้แนะหนึ่งวิธีที่ใช้คือ "การดุด่า" จนทำให้รู้สึกว่าโดราเอมอนนี้ขี้บ่นเหมือนคนแก่จริงๆ เลยแต่ในความจู้จี้ขี้บ่นของโดราเอมอนนั้นแฝงไปด้วยความรัก ความห่วงใย ความเมตตา

และคำดุด่านั้นไม่ใช่การดุด่าที่บั่นทอนกำลังใจ ในความ "โหด" มีความ "รัก" บางครั้งการด่าว่าของโดราเอมอนเสมือนการเบรก เพื่อให้ชะลอในการคิดหรือการทำอะไรให้ตรึกตรองถี่ถ้วนเสียก่อน ไม่ใช่การเบรกกระชากให้หัวคว่ำเสียหลัก และบางครั้งการด่าของโดราเอมอนก็เป็นแรง "ฉุด" ให้โนบิตะเกิดความฮึกเหิม ฮึด มีพลังที่จะกระทำในเรื่องนั้นๆ

"ไม่ว่าใครก็ทำผิดพลาดได้ทั้งนั้น และการบอกลูกน้องให้รู้ถึงความคาดหวัง หรือการเฝ้ารอต่างหาก ที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้ลูกน้องขยับแข้งขยับขาเพื่อต่อสู้กับการแก้ไขปัญหาด้วยทัศนคติที่แข็งแกร่ง"

นอกจากด่าแล้ว "ลูกยอ" ของโดราเอมอนก็มี ถ้าจำกันได้คงคุ้นๆ ประโยคนี้ในหลายๆ ตอน "เห็นไหมโนบิตะก็ทำได้" หรือ "แหม ความคิดนายนี่เข้าท่าไม่สมกับเป็นนายเลยแฮะ" นี่แหละคำชมจากโดราเอมอนสู่โนบิตะ ส่วนในหนังสือเล่มนี้ก็มีกฎของการชมว่า "จะใช้คำพูดและการกระทำแบบไหนดีที่จะเพิ่มศักยภาพของคนได้" เพราะการชมไปเรื่อย ชมได้ทุกเรื่อง ก็ส่งผลด้านลบเหมือนกัน ทั้งทำให้คนถูกชมหลงระเริง หรือทำให้ไม่เห็นค่าในคำชม

"เพิ่มศักยภาพในการชมทันทีเมื่อสำเร็จ ถ้ามีข้อดีสักนิดถึงแม้จะไม่ใช่ความสำเร็จยิ่งใหญ่อะไรนักก็อย่าลืมที่จะชมเพื่อเพิ่มศักยภาพในตัวเขา เพิ่มศักยภาพโดยการชมต่อหน้าเพียงลำพัง เพิ่มศักยภาพโดยการชมอยู่เสมอกับการกระทำที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน และเพิ่มศักยภาพโดยการชมบ้างเป็นบางครั้งกับเรื่องที่เขาทำอยู่เป็นประจำ"

"ของวิเศษ" ที่โดราเอมอนเอามาจากกระเป๋ามิติที่ 4 มาช่วยเหลือโนบิตะตามลำดับเวลานั้น เป็นเพียงเครื่องมือหรือไอเดียของกระบวนการทำในเรื่องราวต่างๆ เท่านั้น ไม่ใช่ของวิเศษที่นำพาโนบิตะไปสู่ความสำเร็จ จะเห็นได้ว่าในหลายๆ ครั้งผลลัพธ์ของการใช้ของวิเศษก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าเหมือนกัน และการนำของวิเศษออกมานั้นโดยปกติแล้วโดราเอมอนให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาภารกิจของโนบิตะที่อยู่ตรงหน้าก่อนเสมอ โดยไม่ค่อยสนใจกับสถานการณ์หรือนิสัยของโนบิตะ และทุกครั้งไปสิน่าที่โนบิตะเมื่อได้ของวิเศษแล้วมักไม่ยอมคืนให้โดราเอมอนง่ายๆ ไม่ว่าโดราเอมอนจะทวงคืนยังไง จนถึงขั้นทำทีท่าไม่สนใจ หรือใช้สายตามองอย่างผิดหวังในตัวโนบิตะ ซึ่งสุดท้ายมันก็ได้ผลต่อจิตสำนึกของโนบิตะเอง ที่รู้สึกผิด และรู้สึกละอายใจ จนผลลัพธ์ที่ออกมาสุดท้ายไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ความคิดและการกระทำของโนบิตะ ที่มีโดราเอมอนเป็นโค้ชให้นั้น ก็ล้วนถูกส่งขับมาจากพลังภายในใจของโนบิตะทั้งสิ้น

ในโลกแห่งความเป็นจริงของมนุษย์ทุกคนไม่มีโดราเอมอนมาคอยช่วยเหลือ ไม่มีของวิเศษมาช่วยดลบันดาลอะไรให้ง่ายขึ้น ทว่าทุกคนมีสองมือ มีมันสมอง เพียงแต่เลือกแนวทางให้ถูกต้อง และวิถีแห่งโดราเอมอน เป็นอีกหนึ่งวิถีที่คนในระดับหัวหน้าจะนำมาเป็นตัวช่วยในการขับเคลื่อนพลังของลูกน้อง

Wednesday, 5 May 2010

อิคคิวซัง แค่การ์ตูนหรือตำนานที่มีอยู่จริง ?




หากย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อน ในไทยมีการ์ตูนญี่ปุ่นที่เข้ามาฉายในไทยอยู่ไม่กี่เรื่อง ที่คนในสมัยนั้นรู้จักกันดี เช่น โดราเอม่อน อาราเร่ ผีน้อยคิวทาโร่ และอิคคิวซังซึ่งหลาย ๆ คนคงจะจำกันได้ดี แม้เด็กรุ่นใหม่ก็ยังรู้จัก "เณรน้อยเจ้าปัญญา อิคคิว ซัง" ความน่ารักของตัวการ์ตูน และเนื้อหาที่สนุกสนาน ยังคงมาสร้างความบันเทิง ในบ้านเราไม่มีวันจบสิ้น อิคคิว ซัง จึงเป็นการ์ตูนอมตะอีกเรื่องหนึ่ง

แต่จะมีใครรู้บ้างว่าที่ญี่ปุ่น พระอิคคิว มีอยู่จริงรวมถึงหลักฐานต่าง ๆ ที่ยืนยันว่า "อิคคิว ซัง" ไม่ได้เป็นแค่การ์ตูน แต่กลับเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น เลยทีเดียว

เมื่อ 600 ปีที่ผ่านมาเป็นยุค Muromachi (ประมาณพศ.1338-1573) ช่วงที่ญี่ปุ่น ยังยึดติดเรื่องศักดินา อิคคิวซัง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเณรน้อย ผู้ฉลาดหลักแหลม หลังจากโชกุน Yoshimitsu Ashikaga ต้องการจะรวมประเทศญี่ปุ่น ในศตวรรษที่ 15 มีพระในนิกายเซน ถือกำเนิดขึ้น ที่ใคร ๆ รู้จักในนาม "Ikkyu San (! อิคคิว ซัง)" พ่อของเขาคือจักรพรรดิ Gokomatsu ซึ่งมีชายาสองฝ่าย คือ Nantyo (ชายาฝ่ายใต้) และ Hokutyo (ชายาฝ่ายเหนือ)

แม่ของอิคคิวคือ Nantyo ภรรยาลับ ๆ ของจักรพรรดิ Gokomatsu พระองค์เกรงอำนาจของชายาฝ่ายเหนือ Hokutyo แม่ของอิคคิว จึงต้องออกจากราชวัง ตั้งแต่ Ikkyu ยังไม่เกิด พระจักรพรรดิส่งเจ้าชายและชายาฝ่ายใต้ (แม่ของอิคคิว) มาจากพระราชวังโชกุน Ahikaga จึงเปลี่ยนชื่อให้เจ้าชายน้อยว่า Ikkyo พระนางนันอีโย พาอิคคิวมาบวชเรียนที่วัดอังโกะกุจิตอนอายุได้ 6 ขวบ เพื่อหนีภัยการเมือง และหลายครั้งเธอไม่ยอมพบกับอิคคิว เพราะต้องการให้อิคคิวเป็นคนเข้มแข็ง ไม่ติดแม่

อิคคิวตั้งอกตั้งใจศึกษาพระธรรม ความเจ้าปัญญาฉายแววขึ้นตามอายุในวัยประมาณ 10 ขวบ อิ๊กคิวซังแต่งกลอนวิพากษ์วิจารณ์ความประพฤติที่ไม่เหมะสมของพระภิกษุนิกายหนึ่งที่กอบโกยทรัพย์สินยศฐาบรรดาศักดิ์บนความทุกข์ยากของชาวบ้าน

พออายุ 13 ปี มีโอกาสเข้าพบแม่ทัพใหญ่ชื่อ "อาซิคะงะโยชิมิสึ" หรือ "ท่านโชกุน" ในการ์ตูน

อายุได้ 17 ปี อิ๊กคิวซังได้ออกจากวัดอังโกะกุจิฝ! ากตัวเป็นศิษย์ของ "หลวงพ่อเคนโอ" ที่วัดไซกอนจิ ได้ฉายาว่า "โชจุ น" ที่วัดแห่งนี้หลวงพ่อเคนโอเน้นการปฏิบัติโดยต้องทำงานอย่างหนัก และต้องอยู่กับสิ่งสกปรกเสียเป็นส่วนใหญ่

ต่อมาหลวงพ่อมรณภาพอิ๊กคิวซังจึงเดินทางไปวัด "อิชิยามา" อดอาหาร 7 วัน 7 คืน สวดมนต์อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้อาจารย์ต่อหน้าพระโพธิสัตว์ด้วยความเสียใจนี้เอง จึงคิดฆ่าตัวตาย ระหว่างที่เดินลงไปแม่น้ำเซตะ อิ๊กคิวซังจึงอธิษฐานจิตว่า "ถ้าพระโพธิสัตว์ต้องการให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ก็ขอให้ข้าพเจ้าฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ แต่หากชีวิตข้าพเจ้าไร้ซึ่งคุณค่าเสียแล้ว ข้าพเจ้าขออุทิศสังขารให้เป็นอาหารของปลาและสัตว์น้ำ" ระหว่างที่ดิ่งลงในท้องน้ำ อิ๊กคิวซังก็นึกถึงหน้าท่านแม่และคำสอนขึ้นมาทันใด "เป็นลูกผู้ชายต้องไม่ย่อท้อ" อิ๊กคิวซังจึงตะเกียกตะกายกลับขึ้นฝั่ง

วัดอังโกะกุจิ

หลังจากนั้นท่านอายุได้ 23 ปี ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อ "คะโซ" แห่งวัดโคอัน ซึ่งเป็นพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ แต่พอใจที่จะใช้ชีวิตอย่างสมถะและพอใจในวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและหนักหน่วงอิ๊กคิวซังต้องทำงานทั้งวัน และปฏิบัติอย่างหนัก! หน่วง นอกจากใช้แรงงานในวัดแล้ว อิ๊กคิวซังยังต้องสานรองเท้า เย็บเสื้อผ้าตุ๊กตาผู้หญิง และออกไปขายแรงงานในหมู่บ้านละแวกนั้นซ้ำยังโดนพระรุ่นพี่ที่ไม่ชอบหน้ากลั่นแกล้ง ทำร้าย เตะต่อยอยู่เสมอ แต่อิ๊กคิวซังก็อดทนในที่สุดความพยายามที่จะค้นหาสัจธรรมก็สำเร็จ

เมื่ออิ๊กคิวซังสามารถแก้ปริศนาธรรมที่หลวงพ่อคะโซตั้งไว้ได้สำเร็จ ด้วยวัยเพียง 25 ปีเท่านั้น และที่นี่เองที่ "พระโชจุน"ได้รับฉายาใหม่ว่า "อิ๊กคิว โซจุน" หมายความว่า "รู้พ้นจากโลกสมมติตามบัญญัติของลัทธิเซน" อิ๊กคิวซังน่าจะเป็นพระภิกษุที่บรรลุธรรม เมื่ออายุยังน้อยที่สุดรูปหนึ่งในพระพุทธศาสนาเพราะว่าท่านสามารถบรรลุธรรมในขณะที่นั่งสมาธิบนเรือริมฝั่งทะเลสาบ "เหตุแห่งความทุกข์และความเศร้าหมองที่เกิดขึ้นในชีวิตล้วนเกิดจากจิตที่เต็มไปด้วยอัตตา" คือแก่นธรรมที่ท่านค้นพบ

เมื่อทราบว่าอิ๊กคิวซังสามารถบรรลุแก่นธรรม หลวงพ่อคะโซมีความประสงค์ที่จะมอบใบสำเร็จเปรียญธรรม และตำแหน่งเจ้าอาวาสให้อิ๊กคิวซังสืบทอด แต่อิ๊กคิวซังปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งส! มมติ" ท่านจึงออกธุดงค์

กระทั่งอายุ 34 ปี อิ๊กคิวซังมีโอกาสเข้าเฝ้าท่านพ่อ ซึ่งเป็นองค์จักรพรรดิ ชีวิตช่วงนี้เองที่เป็นที่กล่าวขวัญถึง และขยาดหวาดกลัวและเกลียดชังจากภิกษุด้วยกัน อิ๊กคิวซังเคยไปร่วมงานครบรอบวันมณภาพของพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งด้วยสภาพมอมแมมสกปรกจีวรหลุดลุ่ย พร้อมทั้งด่าทอพระที่มือถือสากปากถือศีล เพราะในสมัยนั้นมีพระภิกษุชั้นผู้ใหญ่จำนวนมากที่ทำตัวเคร่งพระวินัย ถึงขนาดบอกว่าผู้หญิงเป็นมารศาสนา แต่ว่ากลับลักลอบให้แม่เล้า-แมงดานำโสเภณีมาบำเรอถึงในกุฏิ

วัดคิมิโอชิ

นอกจากนี้อิ๊กคิวซังยังต่อต้านพระผู้มีอิทธิพลมีหลายรูปที่หลอกชาวบ้านว่าจะสามารถบรรลุธรรมได้หากบริจาคปัจจัยให้พระมากๆ อิ๊กคิวซังปฏิเสธสังคมพระในขณะนั้นอย่างรุนแรงและทำทุกอย่างที่ถือว่าเป็นอาบัติ เช่น ดื่มสุรา เล! ่นการพนัน ฉันเนื้อสัตว์ ไม่โกนผมและหนวดเครา เดินเข้าออกซ่องโสเภณีอย่างเปิดเผยเป็นว่าเล่น

การกระทำแบบนี้อิ๊กคิวซังต้องการต่อต้านและเสียดสีรวมทั้งสั่งสอนพระจอมปลอมในยุคนั้นให้ละอาย กับการลวงโลก อิ๊กคิวซังคบหาและปฏิบัติกับโสเภณีอย่างเปิดเผยสุภาพและให้เกียรติ ทั้งยังเคยแบ่งส้มจากบาตรให้เคยปีนเขาเสี่ยงตายไปหาสมุนไพรมารักษาโสเภณีที่ป่วยหนักแม้ว่าต่อมาจะเสียชีวิตก็ตาม

เมื่อท่านอายุได้ 75 พรรษา ระหว่างที่ธุดงค์เร่ร่อนหลบภัยสงครามภายในประเทศมาอยู่ที่เมืองซึมิโยชิ ท่านได้พบกับ "โมริ" ศิลปินขอทานตาบอด ซึ่งภายหลังท่านได้รับนางเป็นภรรยาทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันคืนเดียว โมริก็หนีไปเพราะเกิดความอับอายและเกรงว่าตนเองจะทำให้อิ๊กคิวซังเสื่อมเสียชื่อเสียงแต่นางก็กลับมาหาอิ๊กคิวอีกหน เพราะไม่สามารถดำรงชีวิตลำพังได้ในสภาวะสงครามได้

เมื่ออายุได้ 85 พระจักรพรรดิแต่งตั้งให้อิ๊กคิวซังเป็น เจ้าอาวาสวัดไดโตะกุจิซึ่งเป็นวัดหลวงที่สำคัญที่สุดในสมัยนั้น เมื่อไม่สามารถขัดพระราชประสงค์ได้ อ! ิ๊กคิวซังจึงยอมรับตำแหน่งแต่เพียงแค่วันเดียวก็ลาออกกลับมาอยู่วัด ; เมียวโชจิ ที่ท่านสร้างจวบจนวาระสุดท้าย หลังจากกลับมาอยู่วัดนี้ ได้เพียง 2 ปีท่านเป็นมาเลเรีย ท่านละสังขารในท่านั่งสมาธิในอ้อมกอดของโมริ ภรรยาสุดที่รัก ในเวลา 21 พฤศจิกายน ค.ศ.1481 หรือ พ.ศ.2024 เมื่ออายุได้ 88 ปี

10 เรื่องเกี่ยวกับอิ๊คคิวที่คุณอาจไม่เคยรู้

1. พระอิ๊คคิวเคยหาเลี้ยงชีพโดยการรับจ้างเย็บตุ๊กตาเด็กผู้หญิงและเย็บรองเท้าฟาง

2. "ฮารุยาชะ" เด็กสาวในคณะละครเร่คือรักแรกที่ไม่สมหวังของพระอิคคิวในวัยแตกเนื้อหนุ่ม ทั้ง
สองเจอกันครั้งแรกตอนที่อิคคิวถูกซ้อมแล้วฮารุยะชะเข้าไปช่วย

3. สมัยเป็นเณร เคยได้รับรางวัลความฉลาดเป็นดาบจากโชกุนโยชิมิทสุ

4. พระอิคคิวเป็นเจ้าของสูตรการทำนัตโตหรือถั่วหมักอิคคิวที่มีชื่อเสียง เป็นของฝากของโตเกียว

5. พระอิคคิวสวมจีวรสีดำที่พระมารดาเย็บถวายอยู่ชุดเดียวตั้งแต่อายุ 33 ปี จนกระทั่งมรณภาพ

6. คนปะรุ เซ็งระกุ ผู้ปฏิวัติละครโนะ มุระตะ ชูโค ผู้ให้กำเนิดพิธีชงชา ล้วนเคยเป็นลูกศิษย์ของพระ
อิคคิว

7. พระอิคคิวปลูกหนวดตัวเองไว้ที่รูปปั้นไม้จำลองที่ให้ลูกศิษย์แกะสลักขึ้น

8. ครั้งหนึ่งพระอิคคิวเคยอาพาธด้วยโรคท้องร่วงอย่างรุนแรงจนเกือบมรณภาพ

9. ในปีหนึ่งที่อากาศหนาวมาก พระอิคคิวเอาพระพุทธรูปไม่เล็กๆ มาจุดไฟเผาให้ความอบอุ่น

10. พระอิคคิวเคยถูกชาวบ้านไล่ตี เพราะไปยืนปัสสาวะรดพระพุทธรูปริมทาง

เรื่องจริง ชินเนม่อนรู้จักกับอิคคิวตอนอายุ 30 ปี จากการถามตอบ ปุจฉา-วิสัจฉนา ชินเนม่อนเป็นทหารรับใช้ท่านโชกุนอาชิคางะ โยชิโนริ (โชกุนลำดับที่ 6 ในรัฐบาลมุโรมะจิ) ทำหน้าที่ดูแลการเงินของรัฐบาล มีพรสวรรค์ในการแต่งโครงกลอนเป็นเลิศ ออกติดตามเป็นลูกศิษย์อิคคิวในช่วงบั้นปลายชีวิตเพื่อศึกษาพระธรรม

http://webboard.mthai.com/5/2008-02-18/369959.html

คุณรู้หรือไม่...เว็บไซต์แรกของโลก


คุณทราบหรือไม่ว่าเว็บไซต์แรกของโลกคือเว็บอะไร และสร้างโดยใคร วันนี้จะมาไขคำตอบให้ค่ะ

เว็บไซต์แรกของโลก คือ http://info.cern.ch เปิดตัวครั้งแรกบนโลกไซเบอร์เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2534 สร้างโดย เซอร์ทิโมที จอห์น เบอร์เนิร์ส-ลี (Sir Timothy John Berners-Lee, OM, KBE, FRS, FREng, FRSA) หรือที่เรารู้จักในนาม ทิม เบอร์เนิร์ส-ลี ผู้คิดและพัฒนาระบบ เวิลด์ไวด์เว็บ (WorldWideWeb) เป็นคนแรกของโลก

ทิม เบอร์เนิร์ส-ลี เกิดในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นบุตรของนายคอนเวย์ เบอร์เนิร์ส-ลี และนางแมรี ลี วูดส์ ซึ่งทั้งสองคนนี้เป็นนักคณิตศาสตร์ ผู้อยู่ในทีมสร้างคอมพิวเตอร์ "แมนเชสเตอร์ มาร์ก 1" คอมพิวเตอร์ยุคแรกของโลก

ระหว่างเดือนมิถุนายน – ธันวาคม พ.ศ. 2523 เป็นช่วงที่ ทิม เบอร์เนิร์ส-ลี ได้ทำงานเป็น Freeland อยู่ที่เซิร์น (Cern) ได้เสนอโครงการ ข้อความหลายมิติ (Hypertext) ขึ้นเพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างนักวิจัยด้วยกัน และมีการเริ่มสร้างระบบต้นแบบไว้แล้ว โดยใช้ชื่อว่า ENQUIRE

“ เมื่อถึง พ.ศ. 2532 เซิร์นได้กลายเป็นศูนย์อินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และเบอร์เนิร์ส-ลีได้เล็งเห็นโอกาสในการใช้ "ข้อความหลายมิติ" ผนวกเข้ากับอินเทอร์เน็ต เบอร์เนิร์ส-ลีเขียนไว้ในข้อเสนอโครงการของเขาว่า "...ผมเพียงเอาความคิดเรื่องข้อความหลายมิตินี้เชื่อมต่อเข้ากับความคิด "ทีซีพี" และ "DNS" และเท่านั้นก็จะได้ "เวิลด์ไวด์เว็บ.." เบอร์เนิร์ส-ลีร่างข้อเสนอของเขาเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2532 และในปี พ.ศ. 2533 ด้วยความช่วยเหลือของโรเบิร์ต ไคลิยู ช่วยปรับร่างโครงการให้ ไมค์ เซนดอลล์ผู้จัดการของเบอร์เนิร์ส-ลีจึงรับข้อเสนอของเขา ในข้อเสนอนี้ เบอร์เนิร์ส-ลีได้ใช้ความคิดเดียวกับระบบเอ็นไควร์มาใช้สร้างเวิลด์ไวด์เว็บ ซึ่งเขาได้ออกแบบและสร้างเว็บเบราว์เซอร์และเอดิเตอร์ตัวแรก (เรียกว่าWorldWideWeb และพัฒนาด้วย NEXTSTEP)และเว็บเซิร์บเวอร์ขึ้น เรียกว่า httpd (ย่อมาจาก HyperText Transfer Protocal Deamon)

เว็บไซต์แรกสุดสร้างขึ้นที่เซิร์น นำขึ้นออนไลน์เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2534 ให้คำอธิบายว่าเวิลด์ไวด์เว็บคืออะไร การที่จะเป็นเจ้าของเบราว์เซอร์ทำได้อย่างไรและจะติดตั้งเว็บเซิร์บเวอร์ได้อย่างไร นอกจากนี้ยังนับเป็นเว็บไดเร็กทอรี่อันแรกของโลกด้วยเนื่องจากเบอร์เนิร์ส-ลีดูแลรายชื่อของเว็บไซต์อื่นๆ ทั้งหมด นอกจากของตนเองด้วย

เบอร์เนิร์ส-ลีเปิดเผยให้ความคิดแก่ทุกคนและทุกองค์กรโดยไม่คิดมูลค่า เขาไม่เคยจดทะเบียนลิขสิทธิ์การค้นคิดของเขาเลย รวมทั้งไม่เรียกค่าตอบแทนหรือรางวัลอื่นใดจากใคร นอกจากเงินเดือนปกติ ดังนั้น กลุ่มบริษัทเวิลด์ไวด์เว็บจึงตัดสินใจไม่คิดมูลค่าใดๆ จากการนำมาตรฐานของกลุ่มบริษัทไปใช้ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ประกอบการทุกรายยอมรับมาตรฐานเดียวกันได้บนพื้นฐานทางเทคโนโลยี ไม่ใช่พื้นฐานค่าสิขสิทธิ์ถูกหรือแพง” (ที่มา : th.wikipedia.org)

ในพ.ศ. 2548 ทิม เบอร์เนิร์ส-ลี ได้รับยกย่องจากนิตยสาร Time ให้เป็น 1 ใน 100 บุคคลที่ทรงอิทธิพลของศตวรรตที่ 20 และในวันที่ 13 มิถุนายน 2550 ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฝ่ายหน้าจากสมเด็จพระบรมราชินีเอลิซาเบท เป็นการส่วนพระองค์ ซึ่งคนที่ได้รับและยังมีชีวิตอยู่มีเพียง 24 คนเท่านั้น

เมื่อวันที่ 06 สิงหาคม 2550 ที่ผ่านมาได้ครบรอบ 16 ปีพอดี ของการกำเนิดเว็บไซต์ http://info.cern.ch และในปัจจุบันยังสามารถใช้งานได้อยู่ โดยภายในเว็บจะแสดงเนื้อหาบอกเล่าความเป็นมาของการเกิดเว็บไซต์แห่งแรกของโลกขึ้น

วันฉัตรมงคล


ความสำคัญ
วันฉัตรมงคล เป็นวันที่ระลึกในการครบรอบปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงรับพระบรมราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทยโดยสมบูรณ์ คือ พระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาอยู่ ณ ทวีปยุโรป จนกระทั่งทรงบรรลุนิติภาวะแล้วจึงได้เสด็จนิวัติในประเทศไทย และรัฐบาลไทยได้น้อมเกล้า ฯ จักพระราชพิธีบรมราชาภิเษกถวาย เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2493 เหล่าพสกนิกรชาวไทย ได้ถือเอาวันที่ 5 พฤษภาคม ของทุกปี เป็นวันฉัตรมงคลรำลึก

พระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก

1. ขั้นเตรียมงานพระราชพิธี เริ่มตั้งแต่พิธีตักน้ำ และทำพิธีเสกน้ำ ณ เจดีย์สถานสำคัญจากสถานที่ตักน้ำ ก่อนที่จะส่งเข้ามาทำพิธีต่อไปในพระนคร น้ำที่เสกนี้ใช้สำหรับถวายบสำหรับถวายเป็น น้ำอภิเษก และสรงมุรธาภิเษก โดยมีระเบียบกำหนดให้ ใช้น้ำจากแม่น้ำ 5 สาย ได้แก่ แม่น้ำคงคา ยมนา อิรวดี มหิ และสรภู ในชมภูทวีป หรือที่เรียกว่า "ปัญจมหานที" แต่เนื่องจากประเทศไทยอยู่ห่างจากชมภูทวีปมาก ไม่สะดวกในการเดินทาง จึงเปลี่ยนมาใช้น้ำจากแม่น้ำ 18 แห่ง จากภายในพระราชอาณาจักรแทน นอกจากนี้ยังมีพิธีจารึกดวงพระราชสมภพในพระสุพรรณบัฏ และแกะพระราชสัญจกร

2. พิธีเบื้องต้น เริ่มตั้งแต่ตั้งนำวงด้วย จุดเทียนชัย และเจริญพระพุทธมนต์

3. พระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก เริ่มจากสรงมุรธาภิเษก ต่อจากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จพระราชดำเนินไปประทับเหนือพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้ง 8 กล่าวคำถวายพระพรชัยมงคล และถวายดินแดนให้อยู่ในความคุ้มครองของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อจากนั้นทรงรับน้ำอภิเษก ขึ้นสู่พระที่นั่งภัทรบิฐพระราชอาสน์องค์ใหม่ พระมหาราชครูเริ่มร่ายเวทย์พิธีพราหณ์เมื่อร่ายเวทย์เสร็จแล้วจึงกราบทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงพระปรมาภิไธย ถวายเครื่องราชกกุธ คือ เครื่องหมายแสดงความเป็นพระมหากษัตริย์ ไดแก่พระมหาพิชัยมงกุฎ พระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกร วาลวิชนี ฉลองพระบาทเมื่อทรงรับพระมหาพิชัยมงกุฎสวมพระเศียร เจ้าพนักงานจะประโคมดนตรี ทหารยิงปืนใหญ่ พระสงฆ์เคาะระฆัง และสวดชัยมงคลคาถาทั่วพระราชอาณาจักร หลังจากนั้นพราหมณ์ถวายพระแสงศาสตราวุธเป็นอันเสร็จพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก

4. พิธีเบื้องปลาย เมื่อเสร็จพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกแล้ว จะเสด็จออก ณ มหาสมาคม เพื่อให้เหล่าข้าราชการ และประชาชนได้ถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในวโรกาศสถาปนาสมเด็จพระบรมราชาภิเษก และตั้งแต่รัชกาลที่ 7 เป็นต้นมา ได้มีพระราชพิธีประกาศสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินี นอกจากนั้นเสร็จพระราชดำเนินเพื่อประกาศพระองค์เป็นศาสนูปถัมภกษัตริยาธิราชเจ้า ในพระบรมมหาราชวัง

5. เสด็จเยี่ยมราษฎร เมื่อทรงเสด็จพระราชพิธีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินให้ราษฎรได้มีโอกาสชมพระบารมี

การจัดพระราชพิธีเฉลิมฉลองวันฉัตรมงคลในอดีต

แต่เดิมเป็นงานพิธีเฉลิมฉลองของเจ้าพนักงานในพระราชฐานที่มีหน้าที่รักษาเครื่องราชชูปโภคและพระทวารประตูวัง ได้จัดการสมโภชสังเวยเครื่องราชูปโภคที่ตนรักษาทุกปีในหกเดือน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า ในอารยประเทศย่อมนับถือว่า วันคล้ายวันบรมราชาบรมราชาภิเษกเป็นวันมงคลสมัยควรเฉลิมฉลอง จึงทรงริเริ่มวันฉัตรมงคลขึ้นแต่เนื่องจากเป็นธรรมเนียมใหม่ อธิบายให้ฟังก็ไม่เข้าใจ เผอิญวันบรมราชาภิเษกไปตรงกับวันสมโภชเครื่องราชูปโภคที่มีแต่เดิม จึงทรงอธิบายว่า ฉัตรมงคลเป็นวันสมโภชเครื่องราชูปโภคทำให้ไม่มีใครติดใจสงสัย

พระบาทสมเด็จรพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการเฉลิมฉลองโดยนิมนต์พระสงฆ์มาสวดเจริญพุทธมนต์ ในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 6 รุ่งขึ้นมีการถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ที่พระที่นั่งดิสิมหาปราสาทด้วยเหตุนี้จึงถือว่า การเฉลิมฉลองพระราชพิธีฉัตรมงคลเริ่มมีในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นครั้งแรก

ในสมัยรัชกาลที่ 5 วันบรมราชาภิเษกตรงกับเดือน 12 จะโปรดเกล้า ฯ ให้จัดงานฉัตรมงคลในเดือน 12 ก็ไม่มีผู้ใหญ่ท่านใดยินยอม จึงทรงแก้ไขด้วยการออกพระราชบัญญัติว่าด้วยตราจุลจอมเกล้าสำหรับตระกูลขึ้น ให้มีพระราชทานตรานี้ตรงวันคล้ายบรมราชาภิเษก ท่านผู้ใหญ่จึงยินยอมให้เลื่อนงานฉัตรมงคลมาตรงกับวันบรมราชาภิเษก แต่ยังให้รักษา ประเพณีสมโภชเครื่องราชูโภคอยู่ตามเดิม รูปงานวันฉัตรมงคลจึงเป็นดังนี้จนถึงปัจจุบัน

การจัดงานวันฉัตรมงคลในปัจจุบัน

ในขั้นตอนการจัดงานฉัตรมงคลในปัจจุบัน มักกำหนดให้เป็น 3 วัน คือ วันที่ 3 พฤษภาคม มีงานบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทาน คือ พิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่พระบรมราชบุพการี ซึ่งเป็นพิธีสงฆ์ ณ พระที่นั่งอมรินทน์วินิจฉัย ซึ่งในวันนี้ได้เพิ่มพระราชพิธีตรึงหมุดธงชัยเฉลิมพลที่จะพระราชทานแก่หน่วยทหารบางหน่วยเข้าไว้ด้วย

ในวันที่ 4 พฤษภาคม เป็นวันเริ่มพระราชพิธีฉัตรมงคล เจ้าพนักงานจะได้อัญเชิญเครื่องราชกกุธภัณฑ์ขึ้นประดิษฐานบนพระแท่นใต้พระมหาปฎเศวตฉัตร พระครูหัวหน้าพราหมณ์อ่านประกาศพระราชพิธีฉัตรมงคล แล้วทรงสดับพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์

ในวันที่ 5 ซึ่งเป็นวันฉัตรมงคล พระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ทรงบูชาเครื่องกกุธภัณฑ์ พราหมณ์เบิกแว่นเวียนเทียนสมโภช พระมหาเศวตฉัตรและราชกกุธภัณฑ์

ตอนเย็นพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าแก่ผู้มีความดีความชอบ แล้วเสด็จนมัสการพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร และถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าที่ปราสาทพระเทพบิดร เป็นเสร็จพระราชพิธี

ในวันฉัตรมงคลสำนักพระราชวังได้เปิดปราสาทหลายแห่งให้ประชาชนได้เข้าชมและถวายบังคม งานพระราชพิธีฉัตรมงคล เป็นเครื่องหมายยืนยันว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติมาครบรอบปีด้วยดีอีกวาระหนึ่ง และตลอดเวลาที่ผ่านมา พระองค์ได้ประกอบพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติและปวงชนชาวไทยนับอเนกอนันต์

ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ประชาชนชาวไทยจึงได้จัดให้มีการเฉลิมฉลองเนื่องในวันฉัตรมงคลเป็นประจำทุกปี

และเนื่องในมหามงคลสมัย ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติครบรอบปี 50 ปีในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2539 ทางราชการจัดงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษก เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวาระอันเป็นมงคลยิ่ง

Tuesday, 4 May 2010

...ทำไมคนเราถึงต่างกัน?...

๑) อายุยืน-อายุสั้น คนที่เกิดมาแล้วอายุยืนก็เพราะไม่ได้ฆ่าสัตว์ในชาติก่อนและชาตินี้......ส่วนคนที่เกิดมาอายุสั้นก็เพราะเคยฆ่าสัตว์ในชาติก่อนและชาตินี้...คำว่าฆ่าสัตว์หมายถึง......ทั้งคนและสัตว์เดรัจฉานที่เรียกรวมๆว่าสัตว์โลก ผู้ที่ต้องการจะมีอายุยืนนอกจากจะต้อง......ไม่ฆ่าสัตว์ทุกชนิดแล้ว ยังต้องช่วยให้สัตว์อื่นๆ มีอายุยืนด้วย นั่นคือการให้อาหารเป็นทาน......การปล่อยสัตว์ ช่วยสัตว์ที่ตกอยู่ในอันตรายต่างๆ...

...๒) โรคมาก-โรคน้อย เป็นคนที่เคยเบียดเบียนสัตว์ ในชาติก่อนและชาตินี้...
...คนที่มีโรคน้อยก็เพราะไม่ได้เบียดเบียนสัตว์ทั้งในชาติก่อนและชาตินี้...

...วิธีแก้ให้มีโรคน้อย ควรถวายยารักษาโรค ช่วยคนเจ็บป่วยให้ได้รับความสุข...
...พบเห็นคนหรือสัตว์ที่เจ็บป่วยก็ควรจะช่วยรักษาพยาบาลตามกำลัง...
...ควรงดเว้นการกักขังสัตว์ต่างๆทุกชนิด...ถ้าจะเลี้ยงสัตว์ก็ต้องให้ได้รับ...
...ความสุขสบายมากที่สุด และจะต้องไม่ใส่กรง...

...๓) ผิวพรรณสวย-ไม่สวย คนที่ผิวพรรณสวย ก็เพราะไม่เป็นคนขี้โกรธง่าย ไม่อาฆาต พยาบาทคน......คนที่ผิวพรรณไม่สวย ก็เพราะเป็นคนที่มักโกรธ ใครทำอะไร หรือพูดอะไรขัดใจนิดหน่อยก็โกรธ...

...ความโกรธ เกิดจากการหงุดหงิด รำคาญ แล้วก็ฟักตัวมาเป็นความโกรธ แค้นเคือง อาฆาต......และพยาบาท จนถึงการจองเวรกันข้ามภพข้ามชาติ อารมณ์หงุดหงิดที่ทำให้สีหน้าไม่ผ่องใส.....จิตใจไม่เบิกบาน จนถึงหน้านิ่วค้วขมวด เป็นเหตุให้หน้าย่น แก่เกินวัย ไม่สวย ไม่มีเสน่ห์แก่ผู้พบเห็น...

...แม้แต่ผู้ที่สวยอยู่แล้ว(เพราะบุญเก่า) แต่ถ้าเป็นคนที่โกรธอยู่ประจำ ก็จะทำให้หน้าไม่สวย......ไร้เสน่ห์ ความโกรธ มีทั้งโทษต่อร่างกายและจิตใจ เป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ เช่น......โรคความดัน โรคกระเพาะ โรคประสาท โรคเครียด เป็นต้น...

...วิธีแก้โรคโกรธที่ได้ผลทันตาก็คือ ต้องใช้การเจริญเมตตา แผ่ความรัก...
...และความปรารถนาดีต่อผู้อื่น...นึกถึงแต่สิ่งดีๆของเขา ก็จะเห็นความน่ารัก...
...น่าสงสารของเขา ก็จะทำให้จิตใจของเราสบาย กินได้นอนหลับ...

...๔) มีอำนาจมาก-อำนาจน้อย คนที่ไม่ริษยาผู้อื่น ไม่มุ่งร้ายผู้อื่น...
...ไม่ริษยาในลาภในสักการะตลอดจนการไหว้ การบูชาคนอื่น จะเป็นคนมีอำนาจ...
...ในทางตรงกันข้ามก็จะมีอำนาจน้อย คนที่อิจฉา ริษยา ในลาภหรือความดีของคนอื่น...
...อาการของความริษยาก็คือ เห็นใครเขาดีกว่าตนแล้ว รู้สึกไม่สบายใจ คับใจ...
...อดที่จะแสดงกิริยาหรือพูดเสียดสีนินทาเขาไม่ได้...

...วิธีแก้หรือทำลายตัวริษยามีทางเดียวคือสร้างมุทิตา คือพลอยยินดีเมื่อเห็นคนอื่นได้ดี...

๕) ร่ำรวย-ยากจน คนที่เกิดมาแล้วมีฐานะดี ไม่อดอยากยากจน ในชาติก่อนได้ทำทานไว้มากเช่น......ข้าว น้ำ ผ้า ยา ตลอดจนที่พักอาศัย และแสงสว่าง ส่วนคนที่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน.....หรือร่ำรวยแล้วยากจนภายหลัง ก็แสดงให้เห็นว่า ตระหนี่ ขี้เหนียว.....ไม่มีจิตเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ แก่คนหรือสัตว์ เห็นแก่ตัวจัด...

...วิธีแก้ก็คือ ให้ทำทาน มีน้อยก็ทำน้อย จะทำอย่างไรก็ได้...
...แต่ทำแล้วต้องไม่เดือดร้อนตัวเองและครอบครัว...

...๖) เกิดในตระกูลสูง-ตระกูลต่ำ คนที่มีโอกาสเกิดในตระกูลสูง เป็นคนไม่เย่อหยิ่ง...
...อ่อนน้อมถ่อมตน ไหว้คนที่ควรไหว้ บูชาคนที่ควรบูชา ส่วนคนที่เกิดในตระกูลต่ำ...
...มักเป็นคนกระด้าง ถือตัว จองหอง ไม่รู้จักอะไรควรไม่ควร ไม่นับถือคนที่ควรนับถือ...

...วิธีแก้ ให้แก้ด้วยการสร้างค่าสำนึกว่า คนที่เกิดมาในโลกเดียวกันนี้ ย่อมมีศักดิ์ศรีเท่ากันหมด......เรื่องความมี ความจน ความฉลาด โง่ สวย ขี้เหร่ เป็นเพียงค่าสมมุติเท่านั้น ที่เหมือนกันคือ......ทุกคนต้องแก่ แล้วก็ต้องตาย ไม่มีใครเอาสิ่งต่างๆ ใส่โลงไปได้ นอกจาก บุญ และ บาป เท่านั้น...

...๗) ฉลาด-โง่ คนที่เกิดมาฉลาด มีปัญญาดี เขาจะต้องสั่งสมปัญญาไว้ในชาติก่อน...
...ศึกษาเรื่อง บาป บุญ คุณ โทษ อะไรดี อะไรชั่ว เป็นผู้ศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม......ส่วนคนโง่เขลาเบาปัญญา ก็คือคนที่ไม่ใฝ่รู้การศึกษา ดังคำที่ว่า...

...ไม่เรียนก็ไม่รู้...ไม่ดูก็ไม่เห็น...ไม่ทำก็ไม่เป็น...ไม่ปฏิบัติก็ไม่เกิดผล...

Sunday, 2 May 2010

การ์ตูนทั้ง6เรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า...‏

ให้ทุกข์แก่ท่าน...ทุกข์นั้นถึงตัว

ความประมาท...นำมาซึ่งความเจ็บปวด

ความหิว....ไม่เคยปราณีใคร

รวมกันเราอยู่....แยกหมู่เราตาย

เลือกเกิดไม่ได้....แต่เลือกที่จะเป็นได้

ความโลภ....นำมาซึ่งหายนะ

เรื่องของ "ทุเรียน" ที่คุณอาจไม่เคยรู้??


สวัสดีค่ะเพื่อนๆ วันนี้มีเคล็ดลับที่ไม่ลับของทุเรียนมาฝากกันค่ะ หากเพื่อนๆ คนไหนที่เวลาจะกินทุเรียนทีไรต้องคิดหน้าคิดหลังสิบแปดตลบ กลัวอ้วนบ้าง กลัวร้อนในบ้าง กลัวคอเลสเตอรอลกระฉูดบ้าง หลังจากอ่านบทความนี้แล้วอาจเปลี่ยนความคิดใหม่ได้ค่ะ

ถ้ากินตามเทคนิคของปู่ย่าตายายที่ตกทอดกันมา ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาล่ะก็รับรองผอมแน่ค่ะ! นั่นคือให้กินทุเรียนแบบถือว่าเป็นยาถ่ายพยาธิ ไม่ใช่กินเอาอร่อยอย่าที่เรากินๆ กัน ตื่นนอนให้เช้าๆ หน่อย สักประมาณตี 5 (เป็นเวลาที่ธาตุของเราเริ่มทำงาน) หลังจากแปรงฟันล้างหน้าแล้วก็ทานทุเรียนได้เลย จะเลือกพันธุ์ไหนก็ได้ตามรสนิยม ให้ทานได้ประมาณครึ่งลูก คนอ้วนจะทานได้มากกว่านี้นิดหน่อย หลังจากทานแล้วดื่มน้ำอุ่นๆ ตามลงไปด้วยหลังจากทานทุเรียนแล้ว ควรงดอาหารเช้าของวันนั้น ทานติดต่อกัน 2 วัน เส้นใยและความร้อนจากสารกำมะถันในทุเรียนจะไปชะล้างพยาธิและสิ่งสกปรกต่างๆ ในลำไส้ออกมาจนหมด ทำให้คุณผอมลง ร่างกายแข็งแรงสดชื่นด้วย ทุเรียนมีดีรอบด้าน ถึงกินแล้วจะร้อนในไปหน่อย แต่ความดีอย่างอื่นของทุเรียนก็ยังมี แถมมีตั่งแต่ต้นจรดรากซะด้วยสิ!…

เนื้อ: เนื้อทุเรียนมีกำมะถันเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ร้อน แต่ความร้อนนี้ล่ะจะช่วยแก้โรคผิวหนังได้ ทำให้ฝีหนองแห้งเร็ว และมีฤทธิ์ขับพยาธิได้ด้วย

เปลือก: ถ้าเอาเปลือกแหลมๆ ไปสับแช่ในน้ำปูนใส แล้วเอามาล้างแผลพุพอง แผลน้ำเหลืองเสีย แผลจะหายเร็ว หรือถ้าหากมีเด็กในบ้านเป็นคางทูม คนสมัยก่อนเขาก็จะเอาเปลือกทุเรียนไปเผาแล้วบดเป็นผง เอมาผสมกับน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว แล้วเอามาพอกที่คาง คางทูมก็จะยุบ

ใบทุเรียน: เอาใบทุเรียนไปต้มกับน้ำแล้วเอาน้ำนั้นมาอาบ ความร้อนจะช่วย ให้หายไข้และโรคดีซ่านได้

ราก:ตัดเป็นข้อๆ ใส่หม้อต้มให้เดือด นำมาดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วงได้ดี

แต่ที่สำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงามแล้วละก็ คุณอาจจะไม่เคยคิดเลยว่า ทุเรียนจะสามารถทำให้คุณสวยได้ ….

วิธีการไม่ยากเลยเพียงแค่….นำเนื้อทุเรียนสุกพอห่ามๆ ไม่ต้องสุกมาก มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ สักกำมือหนึ่ง ปั่นรวมกับดินสอพอง 1/4 ช้อนโต๊ะ จนเป็นเนื้อข้นๆ ทาไปเลยทั่วผิว เว้นรอบดวงตาและปาก หรือบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออก ธาตุกำมะถันในทุเรียนจะทำให้สิวแห้งเร็วขึ้น !!!

สรรพคุณมากมายอย่างนี้ สาวๆที่ไม่ชอบทุเรียนอาจจะต้องหันกลับมาสนใจทุเรียนมากขึ้นแล้วละ เพราะทุเรียนมีดีกว่าที่คิด จริงไหม!!!….

บทความจาก : fwd mail