เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้แม้ไม่ประมาทและมักทำให้เกิดเลือดตกยางออกอยู่เสมอ ขอแนะนำวิธีการห้ามเลือดอย่างถูกต้อง แต่ก่อนจะเรียนรู้เทคนิคการห้ามเลือด เราควรทราบเรื่องราวของเส้นเลือดก่อน
เส้นเลือดแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ประกอบด้วย
เส้นเลือดแดง เป็นเลือดที่ไหลออกมาจากหัวใจเพื่อไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หากเกิดแผลที่ทำให้เลือดออกจากเส้นเลือดชนิดนี้จะห้ามเลือดยาก โดยเลือดจะทะลักออกตามจังหวะการเต้นของหัวใจ เลือดจะเป็นสีแดงและไม่เกิดลิ่มเลือด
เส้นเลือดดำ เมื่อเกิดแผลเลือดที่ไหลออกมาจะมีสีคล้ำ ไหลแบบริน ๆ ไม่เร็ว ไม่ช้า เนื่องจากเป็นเลือดที่อวัยวะต่าง ๆ ใช้ออกซิเจนแล้วกำลังส่งกลับไปยังหัวใจ
เส้นเลือดฝอย เส้นเลือดที่เชื่อมโยงเป็นตาข่ายระหว่างเส้นเลือดแดงกับเส้นเลือดดำ ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเป็นแผลแล้วเลือดออกจากเส้นเลือดชนิดนี้ โดยเลือดจะซึมออกมาช้า ๆ สามารถห้ามเลือดได้ง่าย
วิธีการห้ามเลือด ทำได้ง่ายที่สุดคือการใช้นิ้วหรือฝ่ามือกดลงบริเวณปากแผล ซึ่งจะต้องเป็นแผลถลอก ขนาดเล็ก ตื้น ๆ แต่ถ้าสามารถหาสำลีหรือผ้าสะอาดก็ให้นำมาใช้ปิดปากแผลเพื่อปฐมพยาบาลเบื้องต้น หากแผลใหญ่เลือดไหลออกมาก ควรใช้วิธีขันชะเนาะ และควรคลายเชือกทุก 15 นาที เพื่อให้เลือดสามารถไหลเวียนไปเลี้ยงเซลล์ได้ อย่างไรก็ตาม การขันชะเนาะนิยมใช้เมื่อบาดแผลเกิดขึ้นบริเวณแขนหรือขา
วิธีขันชะเนาะ เริ่มจากใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าที่หาได้พับเป็นเบาะสี่เหลี่ยมวางบนเส้นเลือดแดงบริเวณแขนหรือขา จุดที่คลำชีพจรพบ จากนั้นใช้ผ้าหรือเชือกพันรอบแขนหรือรอบขาบนเบาะราวสองรอบแล้วผูกเงื่อน 1 ครั้ง สอดท่อนไม้ก่อนผูกเงื่อนตายซ้ำอีกทบ
ลำดับต่อมาให้หมุนท่อนไม้ไปรอบ ๆ เงื่อนที่ผูกไว้อีกหลายครั้ง ถือเป็นการขันชะเนาะจนเลือดหยุดไหล แล้วผูกปลายอีกด้านของท่อนไม้เข้ากับแขนหรือขาป้องกันเกลียวคลายหลุดออก.
http://variety.teenee.com/science/22761.html
Sunday, 31 January 2010
Tuesday, 26 January 2010
มุสาวาท ๗ วิธี
๑. ปด ได้แก่ การโกหกชัด ๆ ไม่รู้บอกว่ารู้ ไม่เห็นบอกว่าเห็น ไม่มีบอกว่ามี หรือรู้บอกว่าไม่รู้ เห็นบอกว่าไม่เห็น มีบอกว่าไม่มี ลักษณะนี้เรียกว่า พูดปด
๒. ทนสาบาน คือทนสาบานตัว เพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อ การสาบานนั้นอาจมีการสาปแช่งด้วยหรือไม่ก็ตาม ชั้นที่สุดคนที่อยู่ด้วยกันมาก ๆ เช่นนักเรียนทั้งชั้น เมื่อมีผู้ทำความผิดแต่จับตัวผู้ทำผิดไม่ได้ ครูจึงเรียกประชุม แล้วก็ถามในที่ประชุมและสั่งว่า ใครเป็นผู้ทำความให้ยืนขึ้น แต่นักเรียนที่กระทำความผิดไม่ยอมยืนขึ้น ยังนั่งเฉยอยู่เหมือนกับคนที่เขาไม่ผิด ทำอย่างนี้ก็เป็นการมุสาด้วยการทนสาบาน เรียกว่า “ทนสาบาน”ก็ได้
๓. ทำเล่ห์กะเท่ ได้การอวดอ้างความศักดิ์สิทธิ์ เกินเหตุเกินความเป็นจริง เช่น อวดรู้วิชาอยู่ยงคงกระพันชาตรี ว่า ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก อวดวิชาเสน่ห์ยาแฝดว่าทำให้คนรักคนหลงได้ อวดความแม่นยำในการทำนายโชคชะตา อวดว่าวิเศษในการบอกใบ้ให้หวย ผู้อวดนั้นมักพร่ำแสดงเกินความจริงใจของตน ซึ่งเป็นการทำเล่ห์กะเท่ หรือทำเป็นเลศนัย ให้หลงเชื่อว่าเขามีความวิเศษ มีคุณวิเศษจริง
๔. มารยา การแสดงอาการหลอกคนอื่น เช่น เจ็บน้อยแกล้งทำเป็นเจ็บมาก ข้าราชการบางคนต้องการจะลาพักงาน ถ้าจะลาตรง ๆ เกรงผู้บังคับบัญชาไม่เห็นใจ จึงแกล้งทำหน้าตาแสดงว่ามีทุกข์ เช่นเอามือกุมขมับแสดงว่าปวดศีรษะ กุมท้องแสดงว่าปวดท้องมาก เด็กบางคนขี้เกียจไปโรงเรียน ลงทุนเอามือล้วงคออ้วกโอ้ก ๆ อ้าก ๆ แสดงว่าคลื่นไส้ ให้พ่อแม่ยินยอมผ่อนผัน เพื่อไม่ให้ไปโรงเรียน
๕. ทำเลศ คือใจอยากพูดเท็จ แต่ทำเป็นสำนวน พูดคลุม ๆ เครือ ๆ ให้ผู้ฟังคิดไปเอง เช่น คนอยู่อยุธยาเดินทางเข้ากรุงเทพ ฯ เพื่อนที่กรุงเทพฯ ถามว่า“ทางอยุธยาฝนตกไหม ?” “คุณนี่ถามได้ ! แดดออกเปรี้ยง ๆ ยังงี้ ยังถามหาฝนอีกหรือ” พูดอย่างนี้เรียกว่าทำเลศ จะตอบตรง ๆ ก็ไม่ตอบแต่แกล้งทำเลศ ให้คนฟังเข้าใจผิด
๖. เสริมความ เรื่องจริงมีน้อย พูดอยากให้คนฟังเห็นเป็นเรื่องใหญ่ จึงพูดประกอบกิริยาท่าทางให้เห็นเป็นเรื่องใหญ่โต เช่น เห็นไฟไหม้เศษกระดาษนิดเดียว ก็ตะโกนลั่นว่า “ไฟไหม้” พอคนอื่นได้ยินเสียงตะโกนเข้า เขาก็เข้าใจว่าเกิดไฟไหม้บ้านเรือนมากมาย อย่างนี้เรียกว่าเสริมความ ไม่พ้นศีลขาด แม้ว่ามูลเดิมจะมีอยู่จริงการโฆษณาขายสินค้าเกิดความจริง นอกจากเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคแล้ว ยังผิดศีลข้อนี้อีก พรรณนาคุณภาพเกิดความจริง ยาขนานเดียวแก้โรคได้สารพัด สรรพคุณแก้โรคได้ร้อยแปดพันเก้า ยิ่งยุคส่งเสริมการค้าเสรีอย่างปัจจุบันนี้ ยิ่งต้องระมัดระวังให้มากทั้งผู้บริโภค คือระวังจะโดนถูกหลอก ผู้โฆษณาระวังจะผิดศีล ในประเด็นของการเสริมความ
๗. อำความ อำความนี้ตรงกันข้ามกับข้อเสริมความ การเสริมความทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ส่วนอำความทำเรื่องใหญ่ให้เล็ก ให้ความเข้มข้นลดปริมาณลงอย่างกรมการปกครอง พอมีเรื่องเกิดขึ้น มีผู้ก่อการร้ายสากลก่อวินาศกรรม มีกลุ่มโจรแยกดินแดน ก่อการร้ายปล้นสะดม ฆ่าครู ฆ่าตำรวจทหาร จำต้องรายงานต่อผู้ใหญ่ในกระทรวง เพราะถ้ารายงานตามความเป็นจริงเกรงจะถูกตำหนิว่าทำงานอ่อนแอ บกพร่องต่อหน้าที่ จึงรายงานให้เบาลง ลดความร้ายแรงลง ให้เห็นเป็นเรื่องเล็ก ๆน้อย ๆ โจรติดยาธรรมดา ทำไปเพราะต้องการเงินไปซื้อยาเสพติด ไม่มีอะไรมากศีลข้อนี้โดยความมุ่งหมาย เพื่อป้องกันการทำลายสิทธิประโยชน์ ของตนเองและผู้อื่น ด้วยการพูดเท็จ และให้รู้จักรักษาวาจาของตนให้เป็นที่เชื่อถือได้
พระพุทธศาสนาเน้นเสมอว่า เมื่อมีปากแล้ว พูดได้พูดไป หรือมิใช่สักแต่จะพูดไป ประเด็นสำคัญอยู่ที่วิธีการพูด การใช้คำพูดอย่างผู้ฉลาด เพราะคำพูดเป็นทั้งศาสตร์ และเป็นทั้งศิลป์ ตามที่โบราณท่านกล่าวไว้ว่า
“พูดดีก็เป็นศรีแก่ปาก พูดไม่ดีก็อัปรีย์กินปาก”
สอดคล้องกับกวีเอก ๔ แผ่นดินแห่งแดนสยาม ”สุนทรภู่” ท่านกล่าวไว้ว่า
“ถึงบางพูด พูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต หากพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์ เพราะพูดจา….”
๒. ทนสาบาน คือทนสาบานตัว เพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อ การสาบานนั้นอาจมีการสาปแช่งด้วยหรือไม่ก็ตาม ชั้นที่สุดคนที่อยู่ด้วยกันมาก ๆ เช่นนักเรียนทั้งชั้น เมื่อมีผู้ทำความผิดแต่จับตัวผู้ทำผิดไม่ได้ ครูจึงเรียกประชุม แล้วก็ถามในที่ประชุมและสั่งว่า ใครเป็นผู้ทำความให้ยืนขึ้น แต่นักเรียนที่กระทำความผิดไม่ยอมยืนขึ้น ยังนั่งเฉยอยู่เหมือนกับคนที่เขาไม่ผิด ทำอย่างนี้ก็เป็นการมุสาด้วยการทนสาบาน เรียกว่า “ทนสาบาน”ก็ได้
๓. ทำเล่ห์กะเท่ ได้การอวดอ้างความศักดิ์สิทธิ์ เกินเหตุเกินความเป็นจริง เช่น อวดรู้วิชาอยู่ยงคงกระพันชาตรี ว่า ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก อวดวิชาเสน่ห์ยาแฝดว่าทำให้คนรักคนหลงได้ อวดความแม่นยำในการทำนายโชคชะตา อวดว่าวิเศษในการบอกใบ้ให้หวย ผู้อวดนั้นมักพร่ำแสดงเกินความจริงใจของตน ซึ่งเป็นการทำเล่ห์กะเท่ หรือทำเป็นเลศนัย ให้หลงเชื่อว่าเขามีความวิเศษ มีคุณวิเศษจริง
๔. มารยา การแสดงอาการหลอกคนอื่น เช่น เจ็บน้อยแกล้งทำเป็นเจ็บมาก ข้าราชการบางคนต้องการจะลาพักงาน ถ้าจะลาตรง ๆ เกรงผู้บังคับบัญชาไม่เห็นใจ จึงแกล้งทำหน้าตาแสดงว่ามีทุกข์ เช่นเอามือกุมขมับแสดงว่าปวดศีรษะ กุมท้องแสดงว่าปวดท้องมาก เด็กบางคนขี้เกียจไปโรงเรียน ลงทุนเอามือล้วงคออ้วกโอ้ก ๆ อ้าก ๆ แสดงว่าคลื่นไส้ ให้พ่อแม่ยินยอมผ่อนผัน เพื่อไม่ให้ไปโรงเรียน
๕. ทำเลศ คือใจอยากพูดเท็จ แต่ทำเป็นสำนวน พูดคลุม ๆ เครือ ๆ ให้ผู้ฟังคิดไปเอง เช่น คนอยู่อยุธยาเดินทางเข้ากรุงเทพ ฯ เพื่อนที่กรุงเทพฯ ถามว่า“ทางอยุธยาฝนตกไหม ?” “คุณนี่ถามได้ ! แดดออกเปรี้ยง ๆ ยังงี้ ยังถามหาฝนอีกหรือ” พูดอย่างนี้เรียกว่าทำเลศ จะตอบตรง ๆ ก็ไม่ตอบแต่แกล้งทำเลศ ให้คนฟังเข้าใจผิด
๖. เสริมความ เรื่องจริงมีน้อย พูดอยากให้คนฟังเห็นเป็นเรื่องใหญ่ จึงพูดประกอบกิริยาท่าทางให้เห็นเป็นเรื่องใหญ่โต เช่น เห็นไฟไหม้เศษกระดาษนิดเดียว ก็ตะโกนลั่นว่า “ไฟไหม้” พอคนอื่นได้ยินเสียงตะโกนเข้า เขาก็เข้าใจว่าเกิดไฟไหม้บ้านเรือนมากมาย อย่างนี้เรียกว่าเสริมความ ไม่พ้นศีลขาด แม้ว่ามูลเดิมจะมีอยู่จริงการโฆษณาขายสินค้าเกิดความจริง นอกจากเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคแล้ว ยังผิดศีลข้อนี้อีก พรรณนาคุณภาพเกิดความจริง ยาขนานเดียวแก้โรคได้สารพัด สรรพคุณแก้โรคได้ร้อยแปดพันเก้า ยิ่งยุคส่งเสริมการค้าเสรีอย่างปัจจุบันนี้ ยิ่งต้องระมัดระวังให้มากทั้งผู้บริโภค คือระวังจะโดนถูกหลอก ผู้โฆษณาระวังจะผิดศีล ในประเด็นของการเสริมความ
๗. อำความ อำความนี้ตรงกันข้ามกับข้อเสริมความ การเสริมความทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ส่วนอำความทำเรื่องใหญ่ให้เล็ก ให้ความเข้มข้นลดปริมาณลงอย่างกรมการปกครอง พอมีเรื่องเกิดขึ้น มีผู้ก่อการร้ายสากลก่อวินาศกรรม มีกลุ่มโจรแยกดินแดน ก่อการร้ายปล้นสะดม ฆ่าครู ฆ่าตำรวจทหาร จำต้องรายงานต่อผู้ใหญ่ในกระทรวง เพราะถ้ารายงานตามความเป็นจริงเกรงจะถูกตำหนิว่าทำงานอ่อนแอ บกพร่องต่อหน้าที่ จึงรายงานให้เบาลง ลดความร้ายแรงลง ให้เห็นเป็นเรื่องเล็ก ๆน้อย ๆ โจรติดยาธรรมดา ทำไปเพราะต้องการเงินไปซื้อยาเสพติด ไม่มีอะไรมากศีลข้อนี้โดยความมุ่งหมาย เพื่อป้องกันการทำลายสิทธิประโยชน์ ของตนเองและผู้อื่น ด้วยการพูดเท็จ และให้รู้จักรักษาวาจาของตนให้เป็นที่เชื่อถือได้
พระพุทธศาสนาเน้นเสมอว่า เมื่อมีปากแล้ว พูดได้พูดไป หรือมิใช่สักแต่จะพูดไป ประเด็นสำคัญอยู่ที่วิธีการพูด การใช้คำพูดอย่างผู้ฉลาด เพราะคำพูดเป็นทั้งศาสตร์ และเป็นทั้งศิลป์ ตามที่โบราณท่านกล่าวไว้ว่า
“พูดดีก็เป็นศรีแก่ปาก พูดไม่ดีก็อัปรีย์กินปาก”
สอดคล้องกับกวีเอก ๔ แผ่นดินแห่งแดนสยาม ”สุนทรภู่” ท่านกล่าวไว้ว่า
“ถึงบางพูด พูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต หากพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์ เพราะพูดจา….”
Friday, 22 January 2010
ทำไมเรียกขนมจีนไม่เกี่ยวกับประเทศจีนซะหน่อย
คำว่า "ขนมจีน" ไม่ใช่ของอาหารจีน แต่คำว่า "จีน" ที่ต่อท้ายขนมนี้สันนิษฐานกันว่าน่าจะมาจากมอญซึ่งเรียกขนมจีนว่า "คนอมจิน" หมายถึง "สุก 2 ครั้ง" พิศาล บุญปลูก ชาวไทยเชื้อสายรามัญผู้สนใจศึกษาอาหารและวัฒนธรรมมอญกล่าวว่า "จริง ๆ แล้ว ขนมจีนเป็นอาหารของคนมอญหรือรามัญ คนมอญเรียกขนมจีนว่า คนอมจิน คนอม หมายความว่าจับกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน จินแปลว่าทำให้สุก" นอกจากนี้ "คนอม" นั้นสันนิษฐานว่าน่าจะใกล้เคียงกับคำไทย "เข้าหนม" แปลว่าข้าวที่นำมานวดให้เป็นแป้งเสียก่อน ซึ่งภายหลังกร่อนเป็น "ขนม" จริง ๆ แล้ว ขนม ในความหมายดั้งเดิมจึงมิใช่ของหวานอย่างที่เข้าใจในปัจจุบัน ขนม หรือ หนม ในภาษาเขมร หรือ คนอม ในภาษามอญหมายถึงอาหารที่ทำจากแป้ง ดังนั้นขนมจีน จึงน่าจะเพี้ยนมาจาก คนอมจิน ซึ่งทำให้เกิดสมมุติฐานตามมาอีกว่า ดั้งเดิมทีเดียวขนมจีนเป็นอาหารมอญ แล้วจึงแพร่หลายไปสู่ชนชาติอื่น ๆ ในสุวรรณภูมิตั้งแต่โบราณกาล
ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จากกระปุกดอทคอมค่ะค่ะ
ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จากกระปุกดอทคอมค่ะค่ะ
Wednesday, 20 January 2010
เทคนิคการถ่ายภาพพานอรามา
พานอรามา (PANORAMA) ซึ่งหมายถึง ภาพที่เห็นได้อย่างกว้างขวาง มีส่วนกว้างมากกว่าส่วนสูงหลายเท่า เป็นภาพที่ดูนานแค่ไหน ก็ไม่รู้สึกเบื่อ
ในที่นี้พานอรามา จะกล่าวถึงเฉพาะภาพถ่าย ซึ่งเป็นคนละประเภทกับภาพที่ถ่ายจากเลนส์มุมกว้าง (wide angle) แต่เป็นภาพที่มีองค์ประกอบ สัดส่วนปกติ หลาย ๆ ภาพ เรียงต่อเป็นภาพเดียวกัน โดยไม่มีจุดต่างของรอยต่อให้เห็น
การจะได้ภาพพานอรามา จึงไม่ง่าย และอาจเป็นด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่ค่อยเห็นแพร่หลายนักแต่โจทย์ยาก ๆ แบบนี้ ชาญ วงศ์วิศวะกร อุปนายกสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กรรมการบริหารสมาพันธ์สมาคมการถ่ายภาพแห่งประเทศไทย กลับมุมานะที่จะเอาดีให้ได้ ด้วยเหตุผลเพียงเพื่อหาข้อสรุปทางวิชาการมาเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้รู้จัก
“ที่ต้องถ่ายแบบพานอรามา ก็เพราะภาพนั้น มีพื้นที่กว้างมาก ถ้าถ่ายธรรมดาจะเจาะได้เป็นชิ้น ๆ ไม่ครอบคลุมทั้งหมด จะใช้เลนส์มุมกว้าง (wide) ก็ต้องขยายหลายส่วน แล้วตัดส่วนบนและส่วนล่าง ออก จะใช้กล้องหมุนที่ถ่ายได้ 360 องศา ก็มีปัญหาฉากหลังโค้ง การทำภาพพานอรามา เป็นการถ่ายภาพที่มีองค์ประกอบหลายส่วน แบ่งถ่ายเป็นหลายเฟรม ตั้งแต่ 2 หรือ 3 เฟรมขึ้นไป ให้มีสัดส่วนความสูง 1 ส่วน ความยาว 3 ส่วน เอามาต่อเป็นรูปเดียว ภาพต้องไม่บิด (Distortion) ไม่หลอกตา มีสัดส่วนสมจริง” ชาญ อธิบายความของภาพมุมยาวให้เข้าใจยิ่งขึ้น
การถ่ายภาพหลายเฟรม ต่อให้เป็นภาพเดียวกันนี่แหละเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะตอนเอาภาพมาต่อให้อยู่ในระนาบเดียวกัน เพราะถ้าตั้งผิด องค์ประกอบในภาพเอียงตั้งแต่เฟรมแรก ภาพถัดไปก็จะเอนตามไปด้วย
“ขาตั้งกล้อง แก้ปัญหาไม่ได้ครับ” ชาญสรุปปัญหาการถ่ายภาพเพื่อเอาหลาย ๆ เฟรมมาต่อว่า การเล็งถ่ายภาพนั้น ทุกช็อตมีโอกาสพลาดมากกว่าฟลุก จึงจำเป็นต้องสร้างเครื่องมือขึ้นมาช่วย ซึ่งตอนนี้ทำเสร็จเกินครึ่งทางแล้ว
เครื่องมือที่ว่าจะติดตั้งบนขาตั้งกล้อง ทำหน้าที่เล็งหาระดับด้วยหลักการเดียวกับกล้องเล็งระดับของช่างสำรวจ ที่เมื่อจับระดับได้แล้วจะหมุนไปทางไหนก็ไม่เพี้ยนแต่ตอนนี้ยังไม่เปิดตัวเครื่องมือที่ว่า เพราะถึงจะใช้งานได้ ก็ยังอยากพัฒนาต่อให้ดีกว่า
ชาญบอกด้วยว่า เครื่องมือของเขาช่วยให้ถ่ายพานอรามาแนวตั้ง เช่น น้ำตก ได้เพียงแต่ยังไม่สามารถคิดเป็นทฤษฎีเพื่ออธิบายวิธีการได้ จึงต้องทดลองทำเพื่อหาข้อสรุปเพิ่มขึ้น
“ผมใช้เครื่องมือที่ทำขึ้นกับกล้องธรรมดา เพื่อถ่ายภาพ ไม่ได้ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์แต่ง ภาพแบบนี้ ถ้าถ่ายไม่ได้ระนาบเดียวกัน ถึงจะพยายามให้โปรแกรมจัดการก็ต่อไม่ได้
ภาพที่ชาญถ่าย สามารถจะพรินต์ ให้มีสัดส่วนความกว้างกับความยาว ขนาด 1:6 หรือถ้าจะให้ยาว 10-20 เมตร ก็ทำได้ ที่สำคัญ ตอนนี้กำลังคิดหาวิธีถ่าย ด้วยเลนส์ที่มี Distortion แต่สามารถต่อ กันได้ โดยไม่บิดงอ ซึ่งเป็นงานที่ท้าทาย แต่ถ้าทำได้สำเร็จก็เป็นผลงานภูมิใจยิ่ง ซุ่มทำมาได้ 2 ปี ตอนนี้ใครถามก็ยังแกล้งไม่ได้ยินอยู่
การจะถ่ายพานอรามาให้ได้ดี ไม่มีสูตรลับทางลัดใด ๆ นอกจากการฝึกฝน เพื่อพัฒนาความสามารถให้ดียิ่งขึ้น โดยก่อนถ่ายให้เลือกพื้นที่บันทึกภาพสัก 3 เฟรมขึ้นไป และไม่ควรเข้าใกล้ตำแหน่งที่ต้องการถ่ายนัก เพราะส่วนสูงจะเกินขนาดของภาพ
เราถามว่า นักถ่ายภาพทั่วไปมีทางทำได้หรือไม่ คำตอบก็คือ ได้ แต่ต้องมีความรู้เรื่องการถ่ายภาพดี จากนั้นก็พยายามหาประสบการณ์ การถ่ายหลายเฟรม และควรมีอุปกรณ์เสริม ที่จะทำให้แน่ใจว่าจะได้ภาพที่ไม่บิด
สนใจ อยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เรื่องพานอรามา หรือจะชวนไปบันทึกภาพทำเลสวย ๆ ในมุมกว้างแบบสุดสายตา ติดต่อได้ ที่ 08-9444-4730 พร้อมจะถ่ายทอดประสบการณ์แบบไม่ปิดบัง
ในที่นี้พานอรามา จะกล่าวถึงเฉพาะภาพถ่าย ซึ่งเป็นคนละประเภทกับภาพที่ถ่ายจากเลนส์มุมกว้าง (wide angle) แต่เป็นภาพที่มีองค์ประกอบ สัดส่วนปกติ หลาย ๆ ภาพ เรียงต่อเป็นภาพเดียวกัน โดยไม่มีจุดต่างของรอยต่อให้เห็น
การจะได้ภาพพานอรามา จึงไม่ง่าย และอาจเป็นด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่ค่อยเห็นแพร่หลายนักแต่โจทย์ยาก ๆ แบบนี้ ชาญ วงศ์วิศวะกร อุปนายกสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กรรมการบริหารสมาพันธ์สมาคมการถ่ายภาพแห่งประเทศไทย กลับมุมานะที่จะเอาดีให้ได้ ด้วยเหตุผลเพียงเพื่อหาข้อสรุปทางวิชาการมาเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้รู้จัก
“ที่ต้องถ่ายแบบพานอรามา ก็เพราะภาพนั้น มีพื้นที่กว้างมาก ถ้าถ่ายธรรมดาจะเจาะได้เป็นชิ้น ๆ ไม่ครอบคลุมทั้งหมด จะใช้เลนส์มุมกว้าง (wide) ก็ต้องขยายหลายส่วน แล้วตัดส่วนบนและส่วนล่าง ออก จะใช้กล้องหมุนที่ถ่ายได้ 360 องศา ก็มีปัญหาฉากหลังโค้ง การทำภาพพานอรามา เป็นการถ่ายภาพที่มีองค์ประกอบหลายส่วน แบ่งถ่ายเป็นหลายเฟรม ตั้งแต่ 2 หรือ 3 เฟรมขึ้นไป ให้มีสัดส่วนความสูง 1 ส่วน ความยาว 3 ส่วน เอามาต่อเป็นรูปเดียว ภาพต้องไม่บิด (Distortion) ไม่หลอกตา มีสัดส่วนสมจริง” ชาญ อธิบายความของภาพมุมยาวให้เข้าใจยิ่งขึ้น
การถ่ายภาพหลายเฟรม ต่อให้เป็นภาพเดียวกันนี่แหละเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะตอนเอาภาพมาต่อให้อยู่ในระนาบเดียวกัน เพราะถ้าตั้งผิด องค์ประกอบในภาพเอียงตั้งแต่เฟรมแรก ภาพถัดไปก็จะเอนตามไปด้วย
“ขาตั้งกล้อง แก้ปัญหาไม่ได้ครับ” ชาญสรุปปัญหาการถ่ายภาพเพื่อเอาหลาย ๆ เฟรมมาต่อว่า การเล็งถ่ายภาพนั้น ทุกช็อตมีโอกาสพลาดมากกว่าฟลุก จึงจำเป็นต้องสร้างเครื่องมือขึ้นมาช่วย ซึ่งตอนนี้ทำเสร็จเกินครึ่งทางแล้ว
เครื่องมือที่ว่าจะติดตั้งบนขาตั้งกล้อง ทำหน้าที่เล็งหาระดับด้วยหลักการเดียวกับกล้องเล็งระดับของช่างสำรวจ ที่เมื่อจับระดับได้แล้วจะหมุนไปทางไหนก็ไม่เพี้ยนแต่ตอนนี้ยังไม่เปิดตัวเครื่องมือที่ว่า เพราะถึงจะใช้งานได้ ก็ยังอยากพัฒนาต่อให้ดีกว่า
ชาญบอกด้วยว่า เครื่องมือของเขาช่วยให้ถ่ายพานอรามาแนวตั้ง เช่น น้ำตก ได้เพียงแต่ยังไม่สามารถคิดเป็นทฤษฎีเพื่ออธิบายวิธีการได้ จึงต้องทดลองทำเพื่อหาข้อสรุปเพิ่มขึ้น
“ผมใช้เครื่องมือที่ทำขึ้นกับกล้องธรรมดา เพื่อถ่ายภาพ ไม่ได้ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์แต่ง ภาพแบบนี้ ถ้าถ่ายไม่ได้ระนาบเดียวกัน ถึงจะพยายามให้โปรแกรมจัดการก็ต่อไม่ได้
ภาพที่ชาญถ่าย สามารถจะพรินต์ ให้มีสัดส่วนความกว้างกับความยาว ขนาด 1:6 หรือถ้าจะให้ยาว 10-20 เมตร ก็ทำได้ ที่สำคัญ ตอนนี้กำลังคิดหาวิธีถ่าย ด้วยเลนส์ที่มี Distortion แต่สามารถต่อ กันได้ โดยไม่บิดงอ ซึ่งเป็นงานที่ท้าทาย แต่ถ้าทำได้สำเร็จก็เป็นผลงานภูมิใจยิ่ง ซุ่มทำมาได้ 2 ปี ตอนนี้ใครถามก็ยังแกล้งไม่ได้ยินอยู่
การจะถ่ายพานอรามาให้ได้ดี ไม่มีสูตรลับทางลัดใด ๆ นอกจากการฝึกฝน เพื่อพัฒนาความสามารถให้ดียิ่งขึ้น โดยก่อนถ่ายให้เลือกพื้นที่บันทึกภาพสัก 3 เฟรมขึ้นไป และไม่ควรเข้าใกล้ตำแหน่งที่ต้องการถ่ายนัก เพราะส่วนสูงจะเกินขนาดของภาพ
เราถามว่า นักถ่ายภาพทั่วไปมีทางทำได้หรือไม่ คำตอบก็คือ ได้ แต่ต้องมีความรู้เรื่องการถ่ายภาพดี จากนั้นก็พยายามหาประสบการณ์ การถ่ายหลายเฟรม และควรมีอุปกรณ์เสริม ที่จะทำให้แน่ใจว่าจะได้ภาพที่ไม่บิด
สนใจ อยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เรื่องพานอรามา หรือจะชวนไปบันทึกภาพทำเลสวย ๆ ในมุมกว้างแบบสุดสายตา ติดต่อได้ ที่ 08-9444-4730 พร้อมจะถ่ายทอดประสบการณ์แบบไม่ปิดบัง
ปล.คนถ่ายภาพมุมกว้าง ก็ใจกว้างแบบนี้แหละ
ที่มาจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์
Monday, 18 January 2010
JavaScript คืออะไร
JavaScript เป็นภาษายุคใหม่สำหรับการเขียนโปรแกรมบนระบบอินเทอร์เน็ตที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง เราสามารถเขียน โปรแกรม JavaScript เพิ่มเข้าปในเว็ปเพจเพื่อใช้ประโยชน์สำหรับงานด้านต่าง ๆ ทั้งการคำนวณ การแสดงผลการรับ-ส่งข้อมูล และที่ สำคัญคือ สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้อย่างทันทีทันได นอกจากนี้ยังมีความสามารถด้านอื่น ๆอีกหลายประการที่ช่วยสร้างความน่าสนใจให้ กับเว็บเพจของเราได้อย่างมาก ภาษาจาวาสคริปต์ถูกพัฒนาโดยเน็ตสเคปคอมมิวนิเคชันส์ (Netscape Communications Corporation) โดยใช้ชื่อว่า Live Script ออกมาพร้อมกับ Netscape Navigator 2.0 เพื่อใช้สร้างเว็บเพจโดยติดต่อกับเซิร์ฟเวอร์แบบ Live Wire ต่อมาเน็ตสเคปจึงได้ร่วมมือกับบริษัทซันไมโครซิสเต็มส์ปรับปรุงระบบของบราวเซอร์เพื่อให้สามารถติดต่อใช้งานกับภาษาจาวาได้ และได้ปรับปรุง LiveScriptใหม่เมื่อ ปี 2538 แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า JavaScript
ลักษณะการทำงานของ JavaScript
JavaScript เป็นภาษาสคริปต์เชิงวัตถุ หรือเรียกว่า อ็อบเจ็กโอเรียลเต็ด (Object Oriented Programming) ที่มีเป้าหมายในการออกแบบและพัฒนาโปรแกรมในระบบอินเทอร์เน็ต สำหรับผู้เขียนเอาสารด้วยภาษา HTMLสามารถทำงานข้ามแพลตฟอร์มได้ทำงานร่วมกับ ภาษา HTML และภาษาจาวาได้ทั้งทางฝั่งไคลเอนต์ (Client) และ ทางฝั่งเซิร์ฟเวอร์ (Server) โดยมีลักษณะการทำงานดังนี้
1. Navigator JavaScript เป็น Client-Side JavaScript ซึ่งหมายถึง JavaScript ที่ถูกแปลทางฝั่งไคลเอนต์(หมายถึงฝั่งเครื่อง คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ไม่ว่าจะเป็นเครื่องพีซี เครื่องแมคอินทอช หรือ อื่น ๆ)
จึงมีความเหมาะสมต่อการใช้งานของผู้ใช้ทั่วไปเป็นส่วนใหญ่
2. LiveWire JavaScript เป็น Server-Side JavaScript ซึ่งหมายถึง JavaScript ที่ถูกแปลทางฝั่งเซิร์ฟเวอร์ (หมายถึงฝั่งเครื่อง คอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการเว้บ โดยอาจจะเป็นเครื่องของซัน ซิลิคอมกราฟิกส์ หรือ อื่น ๆ) สามารถใช้ได้เฉพาะกับ LiveWire ของเน็ตสเคป โดยตรง
1. Navigator JavaScript เป็น Client-Side JavaScript ซึ่งหมายถึง JavaScript ที่ถูกแปลทางฝั่งไคลเอนต์(หมายถึงฝั่งเครื่อง คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ไม่ว่าจะเป็นเครื่องพีซี เครื่องแมคอินทอช หรือ อื่น ๆ)
จึงมีความเหมาะสมต่อการใช้งานของผู้ใช้ทั่วไปเป็นส่วนใหญ่
2. LiveWire JavaScript เป็น Server-Side JavaScript ซึ่งหมายถึง JavaScript ที่ถูกแปลทางฝั่งเซิร์ฟเวอร์ (หมายถึงฝั่งเครื่อง คอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการเว้บ โดยอาจจะเป็นเครื่องของซัน ซิลิคอมกราฟิกส์ หรือ อื่น ๆ) สามารถใช้ได้เฉพาะกับ LiveWire ของเน็ตสเคป โดยตรง
การทำงานร่วมกับ HTML
เนื่องจากจาวาสคริปต์เป็นการเขียนโปรแกรมที่ต้องทำงานร่วมกับHTMLจึงทำให้รูปแบบการเขียนเป็นการเขียนเพื่อนำไปแทรกใน HTMLไม่ใช่โปรแกรมที่แสดงผลหรือทำงานได้ทันทีด้วยตนเองหรือถึงแม้จะแสดงผลหรือทำงานได้ก็เกิดจากคำสั่งของ HTML ไม่ใช่คำสั่งของ จาวาสคริปต์จึงต้องทำความเข้าใจการทำงานร่วมกันระหว่างHTMLกับจาวาสคริปต์เริ่มจากรูปแบบปกติของ HTML ดังต่อไปนี้
โครงสร้างของ HTML จะประกอบไปด้วย 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ
1.ส่วนที่เป็นส่วนหัว หรือเฮด (Head)
2.ส่วนที่เป็นส่วน แสดงผล หรือบอดี้ (Body)
โครงสร้างของ HTML จะประกอบไปด้วย 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ
1.ส่วนที่เป็นส่วนหัว หรือเฮด (Head)
2.ส่วนที่เป็นส่วน แสดงผล หรือบอดี้ (Body)
สำหรับเพื่อน ๆที่สนใจโปรแกรม JavaScirpt นี้สามารถเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaigoodview.com/library/contest2552/type1/tech03/43/p1.html
ซึ่งจะบอกเล่าเรื่องราวของโปรแกรม JavaScript ทั้งหมด ซึ่งยังรวมถึงเรื่อ ตัวแปร, Array, Statement, Function, คำสงวน, ตัวอย่างและแบบทดสอบให้เราลองทำเล่นอีกด้วย
Thursday, 14 January 2010
Triangulated Irregular Network (TIN) และ Digital Elevation Model (DEM)
Triangulated lrregular Network (TIN) คือ ข้อมูลพื้นผิวที่มีโครงสร้างแบบเวกเตอร์ แสดงลักษณะของ พื้นผิวโดยการใช้รูปสามเหลี่ยมหลายรูปซึ่งมีด้านประชิดกัน และใช้จุดยอดร่วมกันเรียงต่อเนื่องกันไปโดยค่า Z จัดเก็บอยู่ที่จุดยอดของสามเหลี่ยมจุดเหล่านี้จะกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ โดยพื้นที่ที่มีความแตกต่างของค่า Z มากๆ จุดจะอยู่ใกล้กัน แต่พื้นที่ที่มีค่า Z ไม่แตกต่างกันนัก จุดจะอยู่ห่างกัน ดังรูป
Digital Elevation Model (DEM) คือ ข้อมูลพื้นผิวที่มีโครงสร้างแบบราสเตอร์ มีลักษณะเป็นกริดเซลล์ ขนาดเท่ากัน เรียงต่อเนื่องกันครอบคลุมทั้งพื้นที่ ค่าประจำกริดเซลล์ คือ ค่า Z ดังนั้นค่า Z ในพื้นที่จึงมีการ กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ ดังรูป
การประยุกต์ใช้ข้อมูลพื้นผิวสามารถนำไปใช้งานได้หลายด้าน เช่น การวิเคราะห์ภาพตัดขวาง การแสดงลักษณะของพื้นผิว การวิเคราะห์ความสามารถในการมองเห็นภูมประเทศจากมุมมองต่างๆ การคำนวณปริมาตรของพื้นที่และการแสดงภูมิประเทศร่วมกับพื้นที่ เช่น แผนที่ลายเส้น แผนที่ภาพถ่ายออร์โธสี หรือภาพถ่ายจากดาวเทียมต่าง ๆ ดังรูป
Tuesday, 12 January 2010
SQL
SQL คืออะไร
เอสคิวแอล (SQL) คือ ภาษาสอบถามข้อมูล หรือภาษาจัดการข้อมูลอย่างมีโครงสร้าง มีการพัฒนาภาษาคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมฐานข้อมูลที่รองรับมากมาย เพราะจัดการข้อมูลได้ง่าย เช่น MySQL, MsSQL, PostgreSQL หรือ MS Access เป็นต้น สำหรับโปรแกรมฐานข้อมูลที่ได้รับความนิยมคือ MySQL เป็น Open Source ที่ใช้งานได้ทั้งใน Linux และ Windows
SQL เป็นภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เพื่อจัดการกับฐานข้อมูลโดยเฉพาะ เราสามารถแบ่งการทำงานได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. Select query ใช้สำหรับดึงข้อมูลที่ต้องการ
2. Update query ใช้สำหรับแก้ไขข้อมูล
3. Insert query ใช้สำหรับการเพิ่มข้อมูล
4. Delete query ใช้สำหรับลบข้อมูลออกไป
Select query
ใช้ในการดึงข้อมูลในฐานข้อมูล จะมีการค้นหารายการจากตารางในฐานข้อมูล ตั้งแต่หนึ่งตารางขึ้นไป ตามเงื่อนไขที่สั่ง ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นเซตของข้อมูลที่สามารถสร้าง เป็นตารางใหม่ หรือใช้แสดงออกมาทางจอภาพเท่านั้น โดยมีรูปแบบดังนี้Select รายละเอียดที่เลือก From ตารางแหล่งที่มา Where กำหนดเงื่อนไขฐานข้อมูลที่เลือก Group by ชื่อคอลัมน์
ตัวอย่างการใช้งาน
1. Select fmane,lname From stdinfoหมายถึง ให้แสดงเฉพาะคอลัมน์ fname คือ ชื่อ และคอลัมน์ lname คือ นามสกุล จากตาราง stdinfo
2. Select fname,lname From stdinfo Where programe=”สังคมศึกษา”หมายถึง ให้แสดงชื่อ และนามสกุลจากตาราง stdinfo ซึ่งมีโปรแกรมวิชาเป็นสังคมศึกษา
3. Select fname From stdinfo Where fname Like ‘ส%’หมายถึง ให้เลือกรายชื่อ นักศึกษาที่มีอักษรนำหน้าเป็น “ส” ขึ้นมาแสดงทั้งหมด
4. Select id,fname,lname From stdinfo Where id=”001” AND id=”005”หมายถึง ให้แสดง รหัสประจำตัวนักศึกษา ,ชื่อ และ นามสกุล ที่มีรหัสเป็น 001 และ 005
ข้อสังเกต
1. ประโยคย่อย WHERE เราสามารถระบุเงื่อนไขได้โดยใช้โอเดปอร์เรเตอร์ ทั้วไป เช่น NOT < > = กรณีที่คอลัมน์เป็นตัวเลข เราก็สามารถระบุเงื่อนไขที่เป็นการคำนวนได้เช่น +,-,*,/
2. คำว่า Like ใช้กับค่าในคอลัมน์ประเภทตัวอักษรว่าตรงกับประโยคที่ต้องการหรือไม่ เราสามารถใช้เครื่องหมาย widecard เช่น *,??,% ในประโยคได้ ตามตัวอย่างข้างต้น
3. ในการคำนวนนั้นมีฟังก์ชัน COUNT,SUM,AVG.MIN,MAX ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้ เช่นSelect Count(id) From stdinfoหมายถึง ให้แสดงจำนวนรายการทั้งหมดในตาราง
4. ในกรณีที่ตารางสองตารางมีความสัมพันธ์กัน เราก็สามารถดูข้อมูลทั้งสองตารางพร้อมกันได้ เช่น ตารางที่ 1 ข้อมูลนักศึกษาชื่อ stdinfoกำหนดให้มีคอลัมน์รหัสประจำตัว (id) ,ชื่อ (fname), นามสกุล (lname)ตารางที่ 2 ขอมูลเกี่ยวกับวิชาที่เรียน ชื่อ substdกำหนดให้มีคอลัมน์ชื่อวิชา (subject), รหัสประจำตัวอ้างอิง (rid) ,อาจารย์ผู้สอน (teacher)เราต้องการดูข้อมูลรหัสประจำตัว ชื่อ นามสกุล และชื่อวิชาที่เรียน เราจะใช้คำสั่งดังนี้Select stdinfo.id, stdinfo.fname,stdinfo.lname,substd.subject From stdinfo,substd Where stdinfo.id=substd.rid
Update query
ใช้สำหรับการแก้ไขข้อมูลในตาราง โดยแก้ในคอลัมน์ที่มีค่าตรงตามเงื่อนไข มีรูปแบบดังนี้Update ชื่อตาราง Set [ชื่อคอลัมน์=ค่าที่จะใส่เข้าไปในคอลัมน์นั้น ๆ ] Where เงื่อนไขเช่น จากตารางแสดงรายชื่อนักศึกษากรณีที่นักศึกษาชื่อ สมบัติ มักน้อย ย้ายโปรแกรมวิชา จาก สังคมศึกษา ไปเป็นภาษาไทย เราใช้คำสั่งดังนี้Select stdinfo Set programe=’ภาษาไทย’ Where Fname=’สมบัติ’ and Lname=’มักน้อย’
Insert query
ใช้ในการเพิ่มเติมข้อมูลใหม่ ๆ เข้าไปในฐานข้อมูล มีรูปแบบดังนี้Insert Into ชื่อตาราง [=ชื่อคอลัมน์1,2..] Values [ค่าที่จะใส่ลงในคอลัมน์ 1,2…]เช่น ต้องการเพิ่มรายชื่อนักศึกษา ที่มีรหัสประจำตัวเป็น 007 ชื่อ กมลวรรณ ศิริกุล โปรแกรมวิชา วิทยาศาสตร์ เราสามารถใช้คำสั่งดังนี้Insert into stdinfo (id,fname,lname,programe) Values (‘007’,’กมลวรรณ’,’ศิริกุล’,’ วิทยาศาสตร์’)
Delete query
ใช้ลบข้อมูลออกจากตาราง มีรูปแบบดังนี้Delete From ชื่อตาราง Where เงื่อนไข เช่น ต้องการลบรหัสประจำตัวนักศึกษา 005 ออกจากฐานข้อมูล เราใช้คำสั่งดังนี้Delete From stdinfo Where id=’005’
MySQL (มายเอสคิวแอล) คืออะไร
MySQL (มายเอสคิวแอล) เป็นระบบจัดการฐานข้อมูลโดยใช้ภาษา SQL. แม้ว่า MySQL เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส แต่แตกต่างจากซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สทั่วไป โดยมีการพัฒนาภายใต้บริษัท MySQL AB ในประเทศสวีเดน โดยจัดการ MySQL ทั้งในแบบที่ให้ใช้ฟรี และแบบที่ใช้ในเชิงธุรกิจ
MySQL สร้างขึ้นโดยชาวสวีเดน 2 คน และชาวฟินแลนด์ ชื่อ David Axmark, Allan Larsson และ Michael “Monty” Widenius.
ปัจจุบันบริษัทซันไมโครซิสเต็มส์ (Sun Microsystems, Inc.) เข้าซื้อกิจการของ MySQL AB เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นผลิตภัณฑ์ภายใต้ MySQL AB ทั้งหมดจะตกเป็นของซัน
ชื่อ “MySQL” อ่านออกเสียงว่า “มายเอสคิวเอล” หรือ “มายเอสคิวแอล” (ในการอ่านอักษร L ในภาษาไทย) ซึ่งทางซอฟต์แวร์ไม่ได้อ่าน มายซีเควล หรือ มายซีควล เหมือนกับซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูลตัวอื่น
การใช้งาน
MySQL เป็นที่นิยมใช้กันมากสำหรับฐานข้อมูลสำหรับเว็บไซต์ เช่น มีเดียวิกิ และ phpBB และนิยมใช้งานร่วมกับภาษาโปรแกรม PHP ซึ่งมักจะได้ชื่อว่าเป็นคู่ จะเห็นได้จากคู่มือคอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่จะสอนการใช้งาน MySQL และ PHP ควบคู่กันไป นอกจากนี้ หลายภาษาโปรแกรมที่สามารถทำงานร่วมกับฐานข้อมูล MySQL ซึ่งรวมถึง ภาษาซี ซีพลัสพลัส ปาสคาล ซีชาร์ป ภาษาจาวา ภาษาเพิร์ล พีเอชพี ไพทอน รูบี และภาษาอื่น ใช้งานผ่าน API สำหรับโปรแกรมที่ติดต่อผ่าน ODBC หรือ ส่วนเชื่อมต่อกับภาษาอื่น (database connector) เช่น เอเอสพี สามารถเรียกใช้ MySQL ผ่านทาง MyODBC,ADO,ADO.NET เป็นต้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.choosak.com/page-29/
เอสคิวแอล (SQL) คือ ภาษาสอบถามข้อมูล หรือภาษาจัดการข้อมูลอย่างมีโครงสร้าง มีการพัฒนาภาษาคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมฐานข้อมูลที่รองรับมากมาย เพราะจัดการข้อมูลได้ง่าย เช่น MySQL, MsSQL, PostgreSQL หรือ MS Access เป็นต้น สำหรับโปรแกรมฐานข้อมูลที่ได้รับความนิยมคือ MySQL เป็น Open Source ที่ใช้งานได้ทั้งใน Linux และ Windows
SQL เป็นภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เพื่อจัดการกับฐานข้อมูลโดยเฉพาะ เราสามารถแบ่งการทำงานได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. Select query ใช้สำหรับดึงข้อมูลที่ต้องการ
2. Update query ใช้สำหรับแก้ไขข้อมูล
3. Insert query ใช้สำหรับการเพิ่มข้อมูล
4. Delete query ใช้สำหรับลบข้อมูลออกไป
Select query
ใช้ในการดึงข้อมูลในฐานข้อมูล จะมีการค้นหารายการจากตารางในฐานข้อมูล ตั้งแต่หนึ่งตารางขึ้นไป ตามเงื่อนไขที่สั่ง ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นเซตของข้อมูลที่สามารถสร้าง เป็นตารางใหม่ หรือใช้แสดงออกมาทางจอภาพเท่านั้น โดยมีรูปแบบดังนี้Select รายละเอียดที่เลือก From ตารางแหล่งที่มา Where กำหนดเงื่อนไขฐานข้อมูลที่เลือก Group by ชื่อคอลัมน์
ตัวอย่างการใช้งาน
1. Select fmane,lname From stdinfoหมายถึง ให้แสดงเฉพาะคอลัมน์ fname คือ ชื่อ และคอลัมน์ lname คือ นามสกุล จากตาราง stdinfo
2. Select fname,lname From stdinfo Where programe=”สังคมศึกษา”หมายถึง ให้แสดงชื่อ และนามสกุลจากตาราง stdinfo ซึ่งมีโปรแกรมวิชาเป็นสังคมศึกษา
3. Select fname From stdinfo Where fname Like ‘ส%’หมายถึง ให้เลือกรายชื่อ นักศึกษาที่มีอักษรนำหน้าเป็น “ส” ขึ้นมาแสดงทั้งหมด
4. Select id,fname,lname From stdinfo Where id=”001” AND id=”005”หมายถึง ให้แสดง รหัสประจำตัวนักศึกษา ,ชื่อ และ นามสกุล ที่มีรหัสเป็น 001 และ 005
ข้อสังเกต
1. ประโยคย่อย WHERE เราสามารถระบุเงื่อนไขได้โดยใช้โอเดปอร์เรเตอร์ ทั้วไป เช่น NOT < > = กรณีที่คอลัมน์เป็นตัวเลข เราก็สามารถระบุเงื่อนไขที่เป็นการคำนวนได้เช่น +,-,*,/
2. คำว่า Like ใช้กับค่าในคอลัมน์ประเภทตัวอักษรว่าตรงกับประโยคที่ต้องการหรือไม่ เราสามารถใช้เครื่องหมาย widecard เช่น *,??,% ในประโยคได้ ตามตัวอย่างข้างต้น
3. ในการคำนวนนั้นมีฟังก์ชัน COUNT,SUM,AVG.MIN,MAX ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้ เช่นSelect Count(id) From stdinfoหมายถึง ให้แสดงจำนวนรายการทั้งหมดในตาราง
4. ในกรณีที่ตารางสองตารางมีความสัมพันธ์กัน เราก็สามารถดูข้อมูลทั้งสองตารางพร้อมกันได้ เช่น ตารางที่ 1 ข้อมูลนักศึกษาชื่อ stdinfoกำหนดให้มีคอลัมน์รหัสประจำตัว (id) ,ชื่อ (fname), นามสกุล (lname)ตารางที่ 2 ขอมูลเกี่ยวกับวิชาที่เรียน ชื่อ substdกำหนดให้มีคอลัมน์ชื่อวิชา (subject), รหัสประจำตัวอ้างอิง (rid) ,อาจารย์ผู้สอน (teacher)เราต้องการดูข้อมูลรหัสประจำตัว ชื่อ นามสกุล และชื่อวิชาที่เรียน เราจะใช้คำสั่งดังนี้Select stdinfo.id, stdinfo.fname,stdinfo.lname,substd.subject From stdinfo,substd Where stdinfo.id=substd.rid
Update query
ใช้สำหรับการแก้ไขข้อมูลในตาราง โดยแก้ในคอลัมน์ที่มีค่าตรงตามเงื่อนไข มีรูปแบบดังนี้Update ชื่อตาราง Set [ชื่อคอลัมน์=ค่าที่จะใส่เข้าไปในคอลัมน์นั้น ๆ ] Where เงื่อนไขเช่น จากตารางแสดงรายชื่อนักศึกษากรณีที่นักศึกษาชื่อ สมบัติ มักน้อย ย้ายโปรแกรมวิชา จาก สังคมศึกษา ไปเป็นภาษาไทย เราใช้คำสั่งดังนี้Select stdinfo Set programe=’ภาษาไทย’ Where Fname=’สมบัติ’ and Lname=’มักน้อย’
Insert query
ใช้ในการเพิ่มเติมข้อมูลใหม่ ๆ เข้าไปในฐานข้อมูล มีรูปแบบดังนี้Insert Into ชื่อตาราง [=ชื่อคอลัมน์1,2..] Values [ค่าที่จะใส่ลงในคอลัมน์ 1,2…]เช่น ต้องการเพิ่มรายชื่อนักศึกษา ที่มีรหัสประจำตัวเป็น 007 ชื่อ กมลวรรณ ศิริกุล โปรแกรมวิชา วิทยาศาสตร์ เราสามารถใช้คำสั่งดังนี้Insert into stdinfo (id,fname,lname,programe) Values (‘007’,’กมลวรรณ’,’ศิริกุล’,’ วิทยาศาสตร์’)
Delete query
ใช้ลบข้อมูลออกจากตาราง มีรูปแบบดังนี้Delete From ชื่อตาราง Where เงื่อนไข เช่น ต้องการลบรหัสประจำตัวนักศึกษา 005 ออกจากฐานข้อมูล เราใช้คำสั่งดังนี้Delete From stdinfo Where id=’005’
MySQL (มายเอสคิวแอล) คืออะไร
MySQL (มายเอสคิวแอล) เป็นระบบจัดการฐานข้อมูลโดยใช้ภาษา SQL. แม้ว่า MySQL เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส แต่แตกต่างจากซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สทั่วไป โดยมีการพัฒนาภายใต้บริษัท MySQL AB ในประเทศสวีเดน โดยจัดการ MySQL ทั้งในแบบที่ให้ใช้ฟรี และแบบที่ใช้ในเชิงธุรกิจ
MySQL สร้างขึ้นโดยชาวสวีเดน 2 คน และชาวฟินแลนด์ ชื่อ David Axmark, Allan Larsson และ Michael “Monty” Widenius.
ปัจจุบันบริษัทซันไมโครซิสเต็มส์ (Sun Microsystems, Inc.) เข้าซื้อกิจการของ MySQL AB เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นผลิตภัณฑ์ภายใต้ MySQL AB ทั้งหมดจะตกเป็นของซัน
ชื่อ “MySQL” อ่านออกเสียงว่า “มายเอสคิวเอล” หรือ “มายเอสคิวแอล” (ในการอ่านอักษร L ในภาษาไทย) ซึ่งทางซอฟต์แวร์ไม่ได้อ่าน มายซีเควล หรือ มายซีควล เหมือนกับซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูลตัวอื่น
การใช้งาน
MySQL เป็นที่นิยมใช้กันมากสำหรับฐานข้อมูลสำหรับเว็บไซต์ เช่น มีเดียวิกิ และ phpBB และนิยมใช้งานร่วมกับภาษาโปรแกรม PHP ซึ่งมักจะได้ชื่อว่าเป็นคู่ จะเห็นได้จากคู่มือคอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่จะสอนการใช้งาน MySQL และ PHP ควบคู่กันไป นอกจากนี้ หลายภาษาโปรแกรมที่สามารถทำงานร่วมกับฐานข้อมูล MySQL ซึ่งรวมถึง ภาษาซี ซีพลัสพลัส ปาสคาล ซีชาร์ป ภาษาจาวา ภาษาเพิร์ล พีเอชพี ไพทอน รูบี และภาษาอื่น ใช้งานผ่าน API สำหรับโปรแกรมที่ติดต่อผ่าน ODBC หรือ ส่วนเชื่อมต่อกับภาษาอื่น (database connector) เช่น เอเอสพี สามารถเรียกใช้ MySQL ผ่านทาง MyODBC,ADO,ADO.NET เป็นต้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.choosak.com/page-29/
Saturday, 2 January 2010
คนที่มีความสุขที่สุดในโลก
คนที่มีความสุขที่สุดในโลกไม่ใช่คนที่ร่ำรวย คนที่มีความสุขที่สุดในโลกไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จ แต่คนที่มีความสุขที่สุดในโลกคือ คนที่มีความสบายใจเท่านั้นเอง และความหมายของความสบายใจ คือ
หนึ่ง เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เชื่อว่าคุณมีดี คุณน่าคบหา และคุณทำได้
สอง รู้จักตัวเอง ยอมรับในข้อบกพร่องของตัวเองและพร้อมจะปรับปรุงเสมอ
สาม ไม่ดื้อดึง ถ้าวันวานคุณเคยทำผิดพลาด คุณก็ยินยอมเปลี่ยนแปลงและรับฟังคนอื่น
สี่ เห็นค่าของตัวเอง คุณไม่คิดว่าตัวเองช่างไร้ค่า คุณจึงมีความสุขในใจเสมอ
ห้า วิ่งหนีความทุกข์ เมื่อรู้ตัวว่าตกลงไปในความทุกข์ คุณก็รีบหาทางหลุดพ้น ไม่จมอยู่กับมัน
หก กล้าหาญเสมอ คุณกล้าเปลี่ยนแปลงและกล้ารับมือกับสิ่งแปลกใหม่หรือปัญหาต่างๆ
เจ็ด มีความฝันใฝ่ เมื่อชีวิตมีจุดหมาย คุณก็จะเดินไปบนถนนชีวิตอย่างมีความหวัง ไม่เลื่อนลอย
แปด มีน้ำใจอาทร คุณพบความสุขในใจเสมอถ้าเป็นผู้ให้แก่ผู้อื่น โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
เก้า นับถือตัวเอง ไม่ดูถูกตัวเองด้วยการลดคุณค่าและทำในสิ่งที่เสื่อมเสียต่อตัวเอง
สิบ เติมสีสัน สร้างรอยยิ้มให้ชีวิตของคุณและคนรอบข้าง รู้จักหยอกล้อคนอื่น ๆ และตัวเองด้วย
ความสุขนั้นคือ พอใจกับวิถีชีวิตของตัวเอง และวางฝันของตัวเองตามกำลังที่ตนทำได้ การได้รับวัตถุและความสำเร็จในหน้าที่การงาน ทำให้คุณพึงพอใจและยกระดับฐานะของคุณเท่านั้น เป็นการสร้างเสริมความสุขเพียงภายนอก และมันมิได้อยู่กับคุณอย่างมั่นคงถาวรตลอดไป เพราะคนเรานั้นย่อมมีความต้องการเพิ่มขึ้นเสมอไม่มีวันหยุดนิ่ง ความสุขที่แท้จริงเกิดจากข้างในจิตใจของคนเรา และถ้าจิตใจของคุณไม่ว่าง เต็มไปด้วยอารมณ์อันตรายต่าง ๆ ความสุขก็จะเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง เพราะความสุขนั้นมักเกิดขึ้นท่ามกลางความสงบเสมอ ชีวิตของคนเรานั้นไม่ยืนยาวนัก คุณสามารถหาความสุขให้ตัวเองได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องมุ่งหวังยามแก่เฒ่า ค่อยอยู่อย่างสงบสุขอย่างที่หลายคนเชื่อกัน เชื่อเถอะ เราจะสามารถมีความสุขที่สุดในโลกได้ ในตอนนี้ ถ้าเราเริ่มจากตัวเราเอง !!!
หนึ่ง เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เชื่อว่าคุณมีดี คุณน่าคบหา และคุณทำได้
สอง รู้จักตัวเอง ยอมรับในข้อบกพร่องของตัวเองและพร้อมจะปรับปรุงเสมอ
สาม ไม่ดื้อดึง ถ้าวันวานคุณเคยทำผิดพลาด คุณก็ยินยอมเปลี่ยนแปลงและรับฟังคนอื่น
สี่ เห็นค่าของตัวเอง คุณไม่คิดว่าตัวเองช่างไร้ค่า คุณจึงมีความสุขในใจเสมอ
ห้า วิ่งหนีความทุกข์ เมื่อรู้ตัวว่าตกลงไปในความทุกข์ คุณก็รีบหาทางหลุดพ้น ไม่จมอยู่กับมัน
หก กล้าหาญเสมอ คุณกล้าเปลี่ยนแปลงและกล้ารับมือกับสิ่งแปลกใหม่หรือปัญหาต่างๆ
เจ็ด มีความฝันใฝ่ เมื่อชีวิตมีจุดหมาย คุณก็จะเดินไปบนถนนชีวิตอย่างมีความหวัง ไม่เลื่อนลอย
แปด มีน้ำใจอาทร คุณพบความสุขในใจเสมอถ้าเป็นผู้ให้แก่ผู้อื่น โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
เก้า นับถือตัวเอง ไม่ดูถูกตัวเองด้วยการลดคุณค่าและทำในสิ่งที่เสื่อมเสียต่อตัวเอง
สิบ เติมสีสัน สร้างรอยยิ้มให้ชีวิตของคุณและคนรอบข้าง รู้จักหยอกล้อคนอื่น ๆ และตัวเองด้วย
ความสุขนั้นคือ พอใจกับวิถีชีวิตของตัวเอง และวางฝันของตัวเองตามกำลังที่ตนทำได้ การได้รับวัตถุและความสำเร็จในหน้าที่การงาน ทำให้คุณพึงพอใจและยกระดับฐานะของคุณเท่านั้น เป็นการสร้างเสริมความสุขเพียงภายนอก และมันมิได้อยู่กับคุณอย่างมั่นคงถาวรตลอดไป เพราะคนเรานั้นย่อมมีความต้องการเพิ่มขึ้นเสมอไม่มีวันหยุดนิ่ง ความสุขที่แท้จริงเกิดจากข้างในจิตใจของคนเรา และถ้าจิตใจของคุณไม่ว่าง เต็มไปด้วยอารมณ์อันตรายต่าง ๆ ความสุขก็จะเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง เพราะความสุขนั้นมักเกิดขึ้นท่ามกลางความสงบเสมอ ชีวิตของคนเรานั้นไม่ยืนยาวนัก คุณสามารถหาความสุขให้ตัวเองได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องมุ่งหวังยามแก่เฒ่า ค่อยอยู่อย่างสงบสุขอย่างที่หลายคนเชื่อกัน เชื่อเถอะ เราจะสามารถมีความสุขที่สุดในโลกได้ ในตอนนี้ ถ้าเราเริ่มจากตัวเราเอง !!!
Friday, 1 January 2010
Subscribe to:
Posts (Atom)