อันดับ 10 หมีขั้วโลก (Polar Bear)
แหล่งอาศัย: ขั้วโลกเหนือ
คงเหลือ: น้อยกว่า 25,000 ตัว
ลดลงเนื่องจากการถูกล่าโดยมนุษย์มายาวนาน แต่ climate change
ทำให้สัตว์โลกชนิดนี้ขึ้นอยู่ในบัญชีเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
อันดับ 9 หมีแพนด้า (Panda)
แหล่งอาศัย: จีน พม่า เวียดนาม
คงเหลือ: น้อยกว่า 2,000 ตัว
ประชากรลดลงเนื่องจากพื้นที่อาศัยถูกทำลาย การจับผสมพันธุ์
โดยมนุษย์ทำให้ชนิดพันธุ์นี้ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ได้ แม้ว่าจะเพียงแค่ประคองเท่านั้น
อันดับ 8 ช้างแคระบอร์เนียว (Borneo Pygmy Elephant)
แหล่งอาศัย: ตอนเหนือของบอร์เนียว
คงเหลือ: ประมาณ 1,500 ตัว
ขนาดตัวสั้นกว่าช้างเอเชียประมาณ 20 นิ้วหรือประมาณ 50 ซม. เป็นช้างที่เชื่องมาก
ประชากรลดลงเนื่องจากการขยายพื้นที่ปลูกปาล์ม พื้นที่อยู่อาศัยลดลงและแออัดขึ้น
อันดับ 7 Black-Footed Ferret
แหล่งอาศัย: อเมริกาเหนือ (แผ่นดินใหญ่)
คงเหลือ: ประมาณ 1,000 ตัว
เป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์มากที่สุดในภูมิภาคนี้ ในปี 1986
เหลือประชากรเพียง 18 ตัว แต่ถูกเพาะเลี้ยงให้เพิ่มปริมาณขึ้นมา
อันดับ 6 เสือโคร่งสุมาตรา (Sumatran Tiger)
แหล่งอาศัย: สุมาตรา อินโดนีเซีย
คงเหลือ: น้อยกว่า 600 ตัว
เป็นเสือโคร่งขนาดเล็ก พบได้เฉพาะในสุมาตรานานกว่าล้านปีมาแล้ว จำนวนลดลงมากเนื่องจากการเพิ่มของประชากร
ที่เหลือรอดส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่อนุรักษ์ คาดว่ามีประมาณ 100 ตัวอาศัยอยู่ตามขอบพื้นที่อนุรักษ์
อันดับ 5 ปลาบึก (Mekong Giant Catfish)
แหล่งอาศัย: แม่น้ำโขงบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
คงเหลือ: หลักร้อย
ถูกล่าเป็นอาหาร ขนาดใหญ่ที่สุดของปลาบึกคือหนัก 293 กก. ปัจจุบัน
ประเทศไทย ลาว และเวียดนาม ขึ้นบัญชีเป็นปลาอนุรักษ์ แต่การตกปลาบึกยังคงนิยมอยู่
อันดับ 4 โลมาวากิตา (Vaquita)
แหล่งอาศัย: อ่าวแคลิฟอร์เนีย
คงเหลือ: 200 - 300 ตัว
เป็น cetaceans ที่เหลือน้อยที่สุดในโลกเนื่องจากแหล่งที่อยู่จำกัดและง่ายต่อการติดอวนของชาวประมง
อันดับ 3 กอลิลลาร์แห่ง Cross River
แหล่งอาศัย: ไนจีเรีย & แคมเมอรูน
คงเหลือ: น้อยกว่า 300 ตัว
เชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อช่วงปี 1980 แต่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน
มักถูกล่าเป็นอาหารและแหล่งอาศัยถูกทำลาย คาดว่าคงอยู่อีกได้ไม่นาน
อันดับ 2 ค่างกระหม่อมทอง (Golden-Headed Langur)
แหล่งอาศัย: เวียดนาม
คงเหลือ: น้อยกว่า 70 ตัว
Primate ชนิดนี้ได้รับการขึ้นบัญชีอนุรักษ์ในปี 2000 แต่ยังคงอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
แต่ในปี 2003 เป็นช่วงที่ประชากรเพิ่มปริมาณขึ้นในรอบทศวรรษ
อันดับ 1 แรดชวา (Javan Rhinoceros)
แหล่งอาศัย: อินโดนีเชีย เวียดนาม
คงเหลือ: น้อยกว่า 60 ตัว
แรดมักถูกฆ่าเอานอ และพื้นที่อาศัยถูกทำลายเป็นสาเหตุของการลดจำนวนประชากร
อันดับ 0 เต่ายักษ์ กาลาปากอส สายพันธุ์ย่อย Abingdon Island Tortoise
แหล่งที่อยู่อาศัย: เกาะกาลาปากอส (หมู่เกาะทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้)
คงเหลือ: ตัวสุดท้ายของโลก
เต่ายักษ์กาลาปากอสมีสายพันธุ์ย่อย 11 ชนิด นี่คือหนึ่งใน 11 ชนิดที่เหลือเพียงตัวสุดท้าย
Saturday, 26 December 2009
Friday, 25 December 2009
Thursday, 24 December 2009
ที่มาและความสำคัญของวัน คริตส์มาส
คริสต์มาส หรือ วันคริสต์มาส (อังกฤษ: Christmas, Christmas Day หรือย่อ ๆ ว่า XMas) คือเทศกาลเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งคริสต์ศาสนา ซึ่งเชื่อกันว่าตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม ของทุกปี พระองค์ประสูติที่เมืองเบธเลเฮมและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ประเทศอิสราเอลในปัจจุบันคริสต์มาสเป็นเทศกาลที่เฉลิมฉลองโดยชาวคริสต์ สำหรับการร่วมฉลองเทศกาลคริสต์มาสของผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสต์อาจจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนา แต่เป็นการฉลองเทศกาลที่ได้พัฒนากลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมประจำปี การที่วันคริสต์มาสเป็นเทศกาลแห่งการให้ของขวัญและการตกแต่งบรรยากาศ จึงทำให้ช่วงเวลานี้มีปริมาณกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สูงทั้งกับชาวคริสต์และผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสต์ เทศกาลคริสต์มาสจึงกลายเป็นกิจกรรมหลักอย่างหนึ่งของผู้ค้าปลีก
ประวัติ
คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์จากภาษาอังกฤษ (Christmas) ซึ่งมาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" คำว่า "Christes Maesse" พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษ (เขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1038) และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmasประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันประสูติของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในรัชกาลของจักรพรรดิออกุสตุสแห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรีย ก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 23 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิซาไกกำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64 - ค.ศ. 313 จนถึงวันที่ 23 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย
องค์ประกอบในงานฉลองวันคริสต์มาส
คำอวยพรสำหรับเทศกาลคริสมาสใช้ คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย
ซานตาครอส
ซานตาคลอสนักบุญ(เซนต์)นิโคลัสแห่งเมืองไมรา นักบุญองค์นี้เป็นสังฆราช ของ ไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่4 ได้รับการยกย่องให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะมาวันหนึ่ง เป็นวันคริตส์มาสเซนต์จึงเดินทางแจกของขวัญให้กับเด็กๆอย่างมีความสุข
ต้นคริสต์มาส
เพลงคริสต์มาส
เพลงคริสต์มาส เริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งผู้แต่งมีทั้งพระสงฆ์และฆราวาส เนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมา ของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบ คือมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดี ในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาส ที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้อง ไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปเพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนอง ในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลกการทำมิสซาเที่ยงคืน
เมื่อพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 23 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส)ในปี นั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระ เยซูเจ้าประสูติ พอไปถึงก็เป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเสร็จแล้วก็กลับมาที่พักเป็นเวลาเช้ามืดราวๆ ตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ก็ยังมีสัตบุรุษหลายคนที่ไม่ได้ไป พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ใน โอกาสวันคริสต์มาสด้วยเทียนและพวงมาลัย
ในสมัยก่อนมีกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมัน ได้เอากิ่งไม้มาประกอบ เป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะมารวมกัน ดับไฟ แล้วจุดเทียนเล่มหนึ่ง สวด ภาวนาและร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกัน เขาจะทำดังนี้ทุก อาทิตย์จนครบ 4 อาทิตย์ก่อน คริสต์มาส ประเพณีนี้เป็นที่นิยม และแพร่หลายในที่หลายแห่ง โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกาซึ่งต่อมา มีการเพิ่ม โดยเอาพวงมาลัยพร้อมกับเทียนที่จุดไว้ตรง กลาง 1 เล่มไป แขวนไว้ที่หน้าต่างเพื่อช่วย ให้คนที่ผ่าน ไปมา ได้ระลึกถึงการเตรียมตัวรับวันคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา และพวงมาลัยนั้นยังเป็น สัญลักษณ์ที่คน สมัยโบราณใช้หมายถึงชัยชนะ แต่ในที่นี้หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างครบ บริบูรณ์ตามแผนการณ์ ของพระเป็นเจ้า.
ขอให้มีความสุขกันมาก ๆ นะคะ ในวัน X'mas
ที่มาwikipediaและผู้หญิงนะคะ
ข้อดีและข้อด้อยของ PHP
ข้อดี
- ความปลอดภัยอยู่ในระดับดี ถึงสูง พวกธนาคารหลายๆที่จึงเลือกใช้ สำหรับงานระดับลึกๆ หมายถึงข้อผิดพลาดของ bug ต่างๆ นะ
- เมื่ออยู่บน linux,unix,solaris มันทำทำงานได้เร็วกว่า windows ประมาณเท่าตัว
- รูปแบบการเขียน ยืดหยุ่นมาก เขียนได้ทั้ง แบบ เก่า ตือ HTML +code หน้าเดียว หรือแบบใหม่ HTML แยกกันกับ Code ,OOP
- สามารถเขียนได้ ทั้ง win app (ยากฉิบหาย),batch script ,web app ,ล่าสุดมีคนพยายามทำให้มันเป็นเหมือน java นั่นคือ เอา php code ไปรันบน platform ไหนก็ได้
- มี framework ช่วยพัฒนาเยอะมาก
- อะไรที่ .net หรือ java มี เดี๋ยว php ก็มี ตาม (บางอย่าง .net ,java ก็มาลอก php ไป) เจ๊ากัน
- เป็นที่นิยมในสถาบันการศึกษา เพราะฟรี
ข้อเสีย
- ขาด IDE ที่เป็นมาตรฐานกลางทำให้คนเขียน ต้องไป ขุดหาโปรแกรมที่ใช้ในการพัฒนาเอาเอง
- บางทีออก version ใหม่บ่อยเกินไป
- การเขียนบางที ต้อง include เยอะแยะไปหมด
- ไม่มี บ. software ใหญ่ๆ เป็นป๋าดันให้ เลยไม่ดังเปรี้ยง แต่ค่อยๆดังเพราะทำความดี สะสม
- การเขียนติดต่อระดับ component หรือ COM+ ของ windows อาจต้อง config ยุ่งยากหน่อย (ไม่เคยเขียน)
- ใช้ IE เปิด web php.net ใน เครือข่าย kku แล้ว download php ยากมาก
จากกระทู้ของคุณ mednoon ใน http://202.28.94.55/comsc/webboard/index.php?topic=549.0
ขอบคุณค๊าบบ!
- ความปลอดภัยอยู่ในระดับดี ถึงสูง พวกธนาคารหลายๆที่จึงเลือกใช้ สำหรับงานระดับลึกๆ หมายถึงข้อผิดพลาดของ bug ต่างๆ นะ
- เมื่ออยู่บน linux,unix,solaris มันทำทำงานได้เร็วกว่า windows ประมาณเท่าตัว
- รูปแบบการเขียน ยืดหยุ่นมาก เขียนได้ทั้ง แบบ เก่า ตือ HTML +code หน้าเดียว หรือแบบใหม่ HTML แยกกันกับ Code ,OOP
- สามารถเขียนได้ ทั้ง win app (ยากฉิบหาย),batch script ,web app ,ล่าสุดมีคนพยายามทำให้มันเป็นเหมือน java นั่นคือ เอา php code ไปรันบน platform ไหนก็ได้
- มี framework ช่วยพัฒนาเยอะมาก
- อะไรที่ .net หรือ java มี เดี๋ยว php ก็มี ตาม (บางอย่าง .net ,java ก็มาลอก php ไป) เจ๊ากัน
- เป็นที่นิยมในสถาบันการศึกษา เพราะฟรี
ข้อเสีย
- ขาด IDE ที่เป็นมาตรฐานกลางทำให้คนเขียน ต้องไป ขุดหาโปรแกรมที่ใช้ในการพัฒนาเอาเอง
- บางทีออก version ใหม่บ่อยเกินไป
- การเขียนบางที ต้อง include เยอะแยะไปหมด
- ไม่มี บ. software ใหญ่ๆ เป็นป๋าดันให้ เลยไม่ดังเปรี้ยง แต่ค่อยๆดังเพราะทำความดี สะสม
- การเขียนติดต่อระดับ component หรือ COM+ ของ windows อาจต้อง config ยุ่งยากหน่อย (ไม่เคยเขียน)
- ใช้ IE เปิด web php.net ใน เครือข่าย kku แล้ว download php ยากมาก
จากกระทู้ของคุณ mednoon ใน http://202.28.94.55/comsc/webboard/index.php?topic=549.0
ขอบคุณค๊าบบ!
Wednesday, 23 December 2009
ปัญหาของผู้หญิง
ประจำเดือนของคุณปกติหรือเปล่า???
.............คุณเคยมีอาการอย่างนี้บ้างหรือไม่ ปวดประจำเดือนมาก มีอาการหนาวร้อน โลหิตจาง เลือดลมไม่ดี เจ็บชายโครง ประจำเดือนเป็นก้อนสีดำ บางคนมีน้อย ตกขาวมากและร้อนใน บางคนมาไม่แน่นอน มา ๆ หยุด ๆ หรือมาไม่ยอมหยุด จนทำให้อ่อนเพลีย หน้าซีด ตลอดจนเป็นไข้ทับฤดู (ประจำเดือนมาแล้วมีไข้ หนาว ๆ ร้อน ๆ)
............สาวคนไหนไม่มีทุกข์เรื่องเกี่ยวกับ ประจำเดือน จงภูมิใจได้ว่าชีวิตนี้โชคดีมาก เพราะยังมีสาวๆ อีกมากที่เป็นทุกข์รายเดือน บ้างมาน้อยไป มากไป มีแล้วหงุดหงิด เห็นอะไรขวางหูขวางตาไปหมด (เพราะระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงเป็นเหตุ) บางคนก็ปวดท้อง ตั้งแต่ปวดนิดหน่อยไปจนถึงปวดจนตัวโก่งตัวงอ บางคนถึงกับนอนซมทำงานไม่ได้เลยก็มี ไม่ว่าจะเป็นวันมามาก มาน้อย หรือไม่มาเลย หรือมีอาการปวดต่างๆ แถมให้ ระหว่างมีประจำเดือน ล้วนมีทั้งที่เป็นอาการปกติ และแบบที่ผิดปกติ คุณคงต้องลองสังเกตดูว่าแบบที่คุณเป็นนั้นเป็นแบบไหน อย่างไรกัน (ส่วนตัวข้าน้อยใช่เลย ฮือๆๆๆ เกิดมามีกรรมวุ้ย เป็นไข้ทับฤดูทุกเดือน)
ประจำเดือนขาดเกิดจากอะไร ???
สูตินรีแพทย์ได้จัดลำดับขั้นตอนของการขาดประจำเดือนนี้ไว้เป็น 2 ระดับ คือ
1. ระดับปฐมภูมิ (PrimaryAmenorrhea) คือการที่ไม่มีประจำเดือนมาเลย เมื่อถึงวัยแรกสาว โดยทั่วไปแพทย์จะถือว่าผิดปกติ ถ้าอายุ 14 ปีแล้วยังไม่มีพัฒนาการทางเพศ และไม่มีประจำเดือน หรือมีพัฒนาการทางเพศแล้ว เช่นมีหน้าอกแต่ไม่มีประจำเดือนเมื่ออายุ 16 ปีขึ้นไป
2. ระดับทุติยภูมิ (Secondary Amenorrhea) คือ การที่คุณเคยมีประจำเดือนเป็นปกติมาก่อน แต่อยู่ดีๆ ก็มีอันต้องขาดๆ หายๆ มาบ้างไม่มาบ้าง ติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 3 รอบเดือน ซึ่งโดยปกติแล้วช่วงเวลาที่ผู้หญิงเราจะขาดประจำเดือนมีอยู่ 4 ช่วงด้วยกัน คือ
-ช่วงวัยแรกรุ่นหลังมีประจำเดือนใหม่ ๆ
-เมื่อคุณตั้งครรภ์
-เมื่ออยู่ในช่วงให้นมบุตร
-เมื่ออยู่ในช่วงวัยหมดประจำเดือน (เมโนพอส)
นอกจากนี้แล้วอาจจะเกิดจากสาเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งเหล่านี้
-การออกกำลังกายมาก หรือเหนื่อยเกินไป
-ความเครียด
-น้ำหนักตัวน้อยเกินไป
-มีอาการป่วยเรื้อรัง เช่น เบาหวาน
-มีระดับฮอร์โมนไม่สมดุล จากอาการผิดปกติต่างๆ เช่น มีซีสต์ในรังไข่
-อาการปวดท้องระหว่างมีประจำเดือน
............หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่มักจะไม่สบายตัวเสมอเมื่อถึงวันนั้นของเดือน ก็คงไม่แปลกนักเพราะสาวๆ กว่าครึ่งค่อนโลกที่อยู่ในวัยมีประจำเดือน มักจะเกิดอาการปวดเนื้อเมื่อยตัว โดยเฉพาะปวดบริเวณท้องน้อย หรือเป็นตะคริว ซึ่งมักจะเป็นมากในช่วงวันแรกๆ หากโชคดีหน่อยอาจเป็นเพียง 1-2 วันก็หาย หรือปวดตลอดช่วงเวลามีประจำเดือนเลยก็มี บางคนยังมีอาการเกี่ยวเนื่องด้วย เช่น ปวดหัว คลื่นไส้ ท้องผูก ท้องร่วง บางครั้งอาจถึงกับอาเจียนได้ ตัวการสำคัญคือเจ้าฮอร์โมน Prostaglandins เป็นฮอร์โมนธรรมชาติที่ผลิตโดยเซลล์ในเยื่อบุมดลูก Prostaglandins นี้จะเป็นตัวที่คอยควบคุมและกระตุ้นมดลูกให้หดเกร็งระหว่างที่กำลังมีประจำเดือน หรือระหว่างคลอดบุตร การหดเกร็งของมดลูกทำให้เราเจ็บปวด และขณะที่กล้ามเนื้อมดลูกหดตัวจะกดเส้นเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก เนื้อเยื่อได้รับเลือดมาเลี้ยงไม่เพียงพอ จึงมีอาการปวดมากขึ้น อาการปวดประจำเดือนแบบนี้มี 2 ระดับเช่นกันคือ
1.ระดับปฐมภูมิ (PrimaryDysmenorrhea) อาการปวดที่เกิดจากการหดเกร็งตัวของมดลูก ปวดไม่มากแต่ชวนหงุดหงิด รำคาญตัว โดยฮอร์โมน Prostaglandins เป็นเหตุ ไม่มีสาเหตุร้ายแรงอื่นๆ แพทย์ว่าปวดเช่นนี้ถือเป็นปกติ ยกเว้นรายที่มีอาการปวดมากๆ อาจต้องให้ยาบรรเทาปวดช่วยด้วย
2.ระดับทุติยภูมิ (SecondaryDysmenorrhea) อาการปวดอีกระดับหนึ่งที่มักจะรุนแรงกว่าแบบแรก ซึ่งมักมีสาเหตุจากความผิดปกติทางสูตินรีเวชบางอย่าง เช่น เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ หรือ Endometriosis (เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด)
• ปีกมดลูกอักเสบ
• เนื้องอกในมดลูก
• คอมดลูกแคบ ทำให้เลือดประจำเดือนไหลไม่สะดวก
มีประจำเดือนออกมามากเกินไปหรือเปล่า??
บางคนเสียเลือดมากกว่า 80 มล.ต่อครั้ง ขณะที่ทั่วๆ ไปจะเสียเลือดเพียง 30-60 มล. ซึ่งจำเป็นต้องหาสาเหตุ ที่ทำให้เลือดประจำเดือนออกมากเกินไป ได้แก่
• ความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย
• เกิดมีเนื้องอก ที่กล้ามเนื้อมดลูกหรือคอมดลูก
• เยื่อบุมดลูกอักเสบ จากเชื้อแบคทีเรีย
• เกิดซีสต์ในรังไข่
• มีความผิดปกติเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์
นอกจากนี้คุณผู้หญิงที่มีน้ำหนักตัวมาก มีลูกมาแล้วหลายคน คนที่มักจะเครียด หดหู่ ซึมเศร้า สูบบุหรี่จัด หรือดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ก็มีโอกาสที่ประจำเดือนของคุณจะมามากเกินปกติได้เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม หากพบว่าคุณมีเลือดออกมากเกินไป ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อให้วินิจฉัยอาการ รับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมจะดีที่สุด เพราะสาเหตุของความผิดปกติของประจำเดือนที่ต่างกัน ก็ต้องใช้การรักษาต่างๆ กันออกไป เมื่อพบสาเหตุก็ควรจัดการแต่เนิ่นๆ อย่ามัวรีรอหรือกลัวหมออยู่เลย และนอกจากนี้ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายเป็นประจำ ก็จะช่วยให้ท่านมีสุขภาพที่แข็งแรงได้
Monday, 21 December 2009
เมาเหมือนหมา!!
Saturday, 19 December 2009
ส่งการบ้าน ปฏิบัติการที่ 6
ข้อที่ 9. นิสิตคิดว่าเมื่อไรจึงใช้ฟังก์ชันที่ไม่ผ่านค่าและเมื่อไรจึงจะใช้ฟังก์ชันที่มีการผ่านค่าตัวแปร
ตอบ.. ฟังก์ชันที่ไม่ผ่านค่าควรจะใช้เมื่อไม่ต้องการจำนวนที่แน่นอนของตัวแปร เป็นการทำคำสั่งใดๆซ้ำ ๆโดยไม่ต้องกำหนดฟังก์ชันใหม่เหมาะสำหรับการเขียนโปรแกรมแบบง่าย ๆไม่ซับซ้อน จำพวกตัวอักษร ส่วนฟังก์ชันที่มีการผ่านค่าควรใช้เมื่อมีการคำนวณเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การกำหนดจำนวนตัวแปรต่าง ๆ การคำนวณ เป็นต้น
------------------------------------------------------------------------------------
ตอบ.. ฟังก์ชันที่ไม่ผ่านค่าควรจะใช้เมื่อไม่ต้องการจำนวนที่แน่นอนของตัวแปร เป็นการทำคำสั่งใดๆซ้ำ ๆโดยไม่ต้องกำหนดฟังก์ชันใหม่เหมาะสำหรับการเขียนโปรแกรมแบบง่าย ๆไม่ซับซ้อน จำพวกตัวอักษร ส่วนฟังก์ชันที่มีการผ่านค่าควรใช้เมื่อมีการคำนวณเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การกำหนดจำนวนตัวแปรต่าง ๆ การคำนวณ เป็นต้น
------------------------------------------------------------------------------------
ข้อที่ 12
พื้นที่สี่เหลี่ยม
พื้นที่วงกลม
เส้นรอบวงกลม
Friday, 18 December 2009
Thursday, 17 December 2009
โน๊ตบุ๊ค ในอนาคต
http://www.youtube.com/watch?v=7H0K1k54t6A&feature=player_embedded
เท่มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ชอบอ่ะ Idea ดีมั่กๆๆ
ลองเข้าไปดูกันนะ
เท่มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ชอบอ่ะ Idea ดีมั่กๆๆ
ลองเข้าไปดูกันนะ
เจอดาวคล้ายโลก ฮือฮาพบน้ำเพียบ
"""""เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ว่า ศูนย์ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ฮาร์วาร์ด-สมิธโซเนียน ตีพิมพ์ผลงานค้นพบดาวเคราะห์ดวงใหม่ ลักษณะคล้ายโลกมากที่สุดตั้งแต่มีการสำรวจ จากการใช้กล้องดูดาว 8 ตัว ตั้งชื่อดาวว่า จีเจ 1214 บี ให้ฉายาว่า "ซูเปอร์เอิร์ธ" เพราะขนาดใหญ่กว่าโลก 2.7 เท่า อยู่ห่างออกไปเพียง 42 ปีแสง โคจรรอบดาวฤกษ์ในระบบสุริยจักรวาลอีกแห่งหนึ่ง โดยใช้เวลาราว 38 ชั่วโมง และที่ฮือฮาคือดาวประกอบด้วยน้ำถึง 3 ใน 4 ส่วน อีกหนึ่งส่วนเป็นหิน ส่วนขนาดดาวฤกษ์มีขนาดเพียง 1 ใน 5 ของดวงอาทิตย์ที่โลกโคจรอยู่นายซาโกรี่ เบอร์ต้า ผู้ค้นพบดาวเคราะห์ดังกล่าวเป็นบัณฑิตผู้จบการศึกษาจากศูนย์ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ฮาร์วาร์ด-สมิธโซเนียน กล่าวว่า ดาวเคราะห์ดังกล่าวเป็นโลกแห่งน้ำแต่ยังร้อนเกินกว่าสิ่งมีชีวิตที่เรารู้จักจะอาศัยอยู่ได้ โดยอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 120-280 องศาเซลเซียส นักวิทยาศาสตร์จะศึกษาว่าดาวดังกล่าวมีชั้นบรรยากาศเป็นอย่างไร""""""
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด
Wednesday, 16 December 2009
หัวไม้ขีดติดไฟได้อย่างไร?
หัวไม้ขีดที่ใช้จุดไฟจะเคลือบด้วยโปแตสเซียมคลอเรต เมื่อขีดกับกลัดด้านที่เคลือบฟอสฟอรัสจะทำให้เกิดประกายไฟลุกไหม้ขึ้น เมื่อ โปแตสเซียมคลอเรตได้รับความร้อนก็จะสลายออกซิเจนออกมาช่วยเผาไหม้ซึ่งเป็นคุณสมบัติของออกซิเจนจึงทำให้ไม้ขีดมีเสียงดังฟู่ เนื่องจากมีความร้อนและออกซิเจนพอที่จะจุดไฟติดจึงเกิดไฟลุกติดขึ้นมา ส่วนก้านไม้ขีดที่ทำจากไม้เนื้ออ่อนจะผ่านการแช่น้ำมันสน ผสมพาราฟิน ทำให้หัวไม้ขีดลุกไหม้มาที่ก้านง่ายขึ้นและนานกว่า
ขอขอบคุณข้อมูลสาระความรู้ดี ๆ จากเว็ปกระปุกค่ะ
ความแตกต่างของภูมิอากาศ กับ ลมฟ้าอากาศ
>>>>ก่อนที่เราจะเข้าใจในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จำเป็นต้องเข้าใจคำที่ควรรู้ เพื่อเป็นพื้นฐานในการศึกษาเรียนรู้ในเรื่องนี้อย่างถูกต้อง นั่นก็คือ คำว่า ภูมิอากาศ และลมฟ้าอากาศ ซึ่งเมื่อเราพูดถึงคำว่า “ภูมิอากาศ” จะมีความหมายที่แตกต่างจากคำว่า “ลมฟ้าอากาศ” โดยสิ้นเชิง ดังนี้
>>>>คำว่า “ลมฟ้าอากาศ” หรือภาษาอังกฤษใช้คำว่า Weather หมายถึงสภาพของบรรยากาศที่เป็นอยู่และเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาสั้นๆ โดยทั่วไป หมายรวมถึงอุณหภูมิ ความชื้น ฝน เมฆ หมอก ลม และทัศนวิสัยเข้าด้วยกันทั้งหมด สภาพลมฟ้าอากาศเป็นสิ่งที่เราสามารถสังเกตได้เป็นอย่างแรกหลังจากที่เราตื่นขึ้นมา และสามารถแปรเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา เช่น ปี ฤดูกาล เดือน วัน และแม้กระทั่งรายชั่วโมง เช่น ตอนเช้าฝนตก ตอนสายแดดออก ตอนบ่ายท้องฟ้าแจ่มใส ก็เป็นไปได้โดยส่วนใหญ่เรามักศึกษาสภาพลมฟ้าอากาศจาก “อุณหภูมิอากาศ (Air temperature)”เพราะสภาพลมฟ้าอากาศที่สำคัญ คือ อุณหภูมิอากาศที่แปรเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา
>>>>ส่วนคำว่า “ภูมิอากาศ” หรือภาษาอังกฤษใช้คำว่า Climate มีความหมายว่า สภาพของบรรยากาศโดยทั่วๆ ไปของท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งเป็นผลเฉลี่ยมาจากการเปลี่ยนแปลงของลมฟ้าอากาศ ดังนั้น ภูมิอากาศจึงเป็นค่าปานกลางของลักษณะลมฟ้าอากาศในระยะเวลานานๆ โดยนำองค์ประกอบต่างๆ ที่มีผลต่อสภาพภูมิอากาศ เช่นอุณหภูมิ ความชื้น ฯลฯ มาหาค่าเฉลี่ย
>>>>หากขยายความให้เห็นชัดขึ้น ครูอาจจะยกตัวอย่างว่า ในชีวิตประจำวัน เรามักเห็นรายการข่าวทางโทรทัศน์หรือวิทยุ เกี่ยวกับการรายงานสภาพลมฟ้าอากาศรายวันและการพยากรณ์อากาศของวันต่อไป ดังนั้น การจดบันทึกเกี่ยวกับสภาพอากาศแต่ละวันเป็นประจำในช่วงระยะเวลาหนึ่งนานๆ จะทำให้เราทราบถึง “ค่าเฉลี่ยของลักษณะลมฟ้าอากาศ” ของแต่ละพื้นที่ ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เช่น ประเทศไทยจะมีช่วงที่มีอุณหภูมิต่ำหรือมีอากาศเย็นในช่วงเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ ช่วงที่มีฝนตกจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนตุลาคม และช่วงที่มีอากาศร้อนคือในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคม หรืออาจจะรวมถึงสภาพลมฟ้าอากาศที่เกิดขึ้นเป็นพิเศษ เช่น การเกิดพายุใต้ฝุ่น เป็นต้น ซึ่งเราเรียกค่าเฉลี่ยที่บอกลักษณะของลมฟ้าอากาศในช่วงระยะเวลาที่นานนี้เองว่า “ภูมิอากาศ” (Climate)
>>>>ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ลมฟ้าอากาศ คือ สภาวะของบรรยากาศ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ส่วน ภูมิอากาศ หมายถึง ลมฟ้าอากาศโดยเฉลี่ยในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานสำหรับบริเวณใดบริเวณหนึ่ง รวมทั้งค่าทางสถิติต่างๆ เช่น ค่าสูงสุดและต่ำสุดนอกจากนี้ยังรวมถึงช่วงระยะเวลาของลมฟ้าอากาศที่ผิดปกติ เช่น ร้อนจัด หรือหนาวจัด โดยปกติองค์ประกอบของลมฟ้าอากาศที่ได้รับความสนใจมากที่สุด คือ “ปริมาณฝนและอุณหภูมิ” แต่อย่างไรก็ตามยังมีองค์ประกอบที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ ลม เมฆ แสงแดด ความกดอากาศ ทัศนวิสัย ความชื้นและปรากฏการณ์ที่มีผลกระทบต่อมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด เช่น ร้อนจัด หนาวจัด พายุรุนแรง หมอก ลูกเห็บ เป็นต้น ลมฟ้าอากาศจึงเป็นผลจากการเกิดขึ้นและสลายตัวไปของปรากฏการณ์ทางอุตุนิยมวิทยาต่างๆ เช่น บริเวณความกดอากาศสูง บริเวณความกดอากาศต่ำ พายุหมุนเขตร้อน เป็นต้น
>>>>อย่างไรก็ตาม ภูมิอากาศจะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่หรือบริเวณ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ละติจูด ระยะทางจากทะเล ชนิดของพืชพันธุ์ความสูงต่ำของพื้นที่และปัจจัยทางภูมิศาสตร์อื่นๆ รวมทั้งยังมีปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่มีผลต่อภูมิอากาศด้วย เช่น ดวงอาทิตย์ วงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ นอกจากนี้ภูมิอากาศยังมีการผันแปรตามเวลา โดยผันแปรฤดูต่อฤดู ปีต่อปี ทศวรรษต่อทศวรรษ หรือแม้แต่ในช่วงระยะเวลาที่นานมากๆ เช่น การเกิดยุคน้ำแข็ง เป็นต้น
>>>>คำว่า “ลมฟ้าอากาศ” หรือภาษาอังกฤษใช้คำว่า Weather หมายถึงสภาพของบรรยากาศที่เป็นอยู่และเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาสั้นๆ โดยทั่วไป หมายรวมถึงอุณหภูมิ ความชื้น ฝน เมฆ หมอก ลม และทัศนวิสัยเข้าด้วยกันทั้งหมด สภาพลมฟ้าอากาศเป็นสิ่งที่เราสามารถสังเกตได้เป็นอย่างแรกหลังจากที่เราตื่นขึ้นมา และสามารถแปรเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา เช่น ปี ฤดูกาล เดือน วัน และแม้กระทั่งรายชั่วโมง เช่น ตอนเช้าฝนตก ตอนสายแดดออก ตอนบ่ายท้องฟ้าแจ่มใส ก็เป็นไปได้โดยส่วนใหญ่เรามักศึกษาสภาพลมฟ้าอากาศจาก “อุณหภูมิอากาศ (Air temperature)”เพราะสภาพลมฟ้าอากาศที่สำคัญ คือ อุณหภูมิอากาศที่แปรเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา
>>>>ส่วนคำว่า “ภูมิอากาศ” หรือภาษาอังกฤษใช้คำว่า Climate มีความหมายว่า สภาพของบรรยากาศโดยทั่วๆ ไปของท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งเป็นผลเฉลี่ยมาจากการเปลี่ยนแปลงของลมฟ้าอากาศ ดังนั้น ภูมิอากาศจึงเป็นค่าปานกลางของลักษณะลมฟ้าอากาศในระยะเวลานานๆ โดยนำองค์ประกอบต่างๆ ที่มีผลต่อสภาพภูมิอากาศ เช่นอุณหภูมิ ความชื้น ฯลฯ มาหาค่าเฉลี่ย
>>>>หากขยายความให้เห็นชัดขึ้น ครูอาจจะยกตัวอย่างว่า ในชีวิตประจำวัน เรามักเห็นรายการข่าวทางโทรทัศน์หรือวิทยุ เกี่ยวกับการรายงานสภาพลมฟ้าอากาศรายวันและการพยากรณ์อากาศของวันต่อไป ดังนั้น การจดบันทึกเกี่ยวกับสภาพอากาศแต่ละวันเป็นประจำในช่วงระยะเวลาหนึ่งนานๆ จะทำให้เราทราบถึง “ค่าเฉลี่ยของลักษณะลมฟ้าอากาศ” ของแต่ละพื้นที่ ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เช่น ประเทศไทยจะมีช่วงที่มีอุณหภูมิต่ำหรือมีอากาศเย็นในช่วงเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ ช่วงที่มีฝนตกจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนตุลาคม และช่วงที่มีอากาศร้อนคือในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคม หรืออาจจะรวมถึงสภาพลมฟ้าอากาศที่เกิดขึ้นเป็นพิเศษ เช่น การเกิดพายุใต้ฝุ่น เป็นต้น ซึ่งเราเรียกค่าเฉลี่ยที่บอกลักษณะของลมฟ้าอากาศในช่วงระยะเวลาที่นานนี้เองว่า “ภูมิอากาศ” (Climate)
>>>>ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ลมฟ้าอากาศ คือ สภาวะของบรรยากาศ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ส่วน ภูมิอากาศ หมายถึง ลมฟ้าอากาศโดยเฉลี่ยในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานสำหรับบริเวณใดบริเวณหนึ่ง รวมทั้งค่าทางสถิติต่างๆ เช่น ค่าสูงสุดและต่ำสุดนอกจากนี้ยังรวมถึงช่วงระยะเวลาของลมฟ้าอากาศที่ผิดปกติ เช่น ร้อนจัด หรือหนาวจัด โดยปกติองค์ประกอบของลมฟ้าอากาศที่ได้รับความสนใจมากที่สุด คือ “ปริมาณฝนและอุณหภูมิ” แต่อย่างไรก็ตามยังมีองค์ประกอบที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ ลม เมฆ แสงแดด ความกดอากาศ ทัศนวิสัย ความชื้นและปรากฏการณ์ที่มีผลกระทบต่อมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด เช่น ร้อนจัด หนาวจัด พายุรุนแรง หมอก ลูกเห็บ เป็นต้น ลมฟ้าอากาศจึงเป็นผลจากการเกิดขึ้นและสลายตัวไปของปรากฏการณ์ทางอุตุนิยมวิทยาต่างๆ เช่น บริเวณความกดอากาศสูง บริเวณความกดอากาศต่ำ พายุหมุนเขตร้อน เป็นต้น
>>>>อย่างไรก็ตาม ภูมิอากาศจะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่หรือบริเวณ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ละติจูด ระยะทางจากทะเล ชนิดของพืชพันธุ์ความสูงต่ำของพื้นที่และปัจจัยทางภูมิศาสตร์อื่นๆ รวมทั้งยังมีปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่มีผลต่อภูมิอากาศด้วย เช่น ดวงอาทิตย์ วงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ นอกจากนี้ภูมิอากาศยังมีการผันแปรตามเวลา โดยผันแปรฤดูต่อฤดู ปีต่อปี ทศวรรษต่อทศวรรษ หรือแม้แต่ในช่วงระยะเวลาที่นานมากๆ เช่น การเกิดยุคน้ำแข็ง เป็นต้น
Tuesday, 15 December 2009
โลกกับการปล่อยพลังงาน
........ภาพที่ทุก ๆ คนจะได้ชมต่อไปนี้เป็นการลำลองการปล่อยพลังงานของโลกในอนาคต ว่าต่อไปถ้าโลกร้อนขึ้นแต่ละองศาโลกจะมีสภาพเป็นเช่นไร
........โดยจากภาพการจำลองนั้นจะมีรูปโลกอยู่ 2 รูป โดยที่รูปแรกด้านซ้ายมือนั้นจะเป็นรูปการเพิ่มขึ้นของการปล่อยพลังงานของโลก (จากการที่มนุษย์เรใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือยโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่ตามมา) ส่วนรูปที่ 2 ด้านขวามือนั้นจะเป็นรูปของการลดลงของการปล่อยพลังงาน(จากการลดการใช้พลังงานต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น พลังงานเชื้อเพลิง เป็นต้น) โดยจะคิดเป็นค่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มขึ้นในทุก ๆ 10 ปี ตั้งแต่ปี 1995 จนถึงปี 2095 ว่าถ้าเกิดเรายังคงไม่ตระหนักถึงภาวะโลกร้อนแล้วโลกของเราจะเป็นเช่นไรในอนาคตข้างหน้า
........โดยจากภาพการจำลองนั้นจะมีรูปโลกอยู่ 2 รูป โดยที่รูปแรกด้านซ้ายมือนั้นจะเป็นรูปการเพิ่มขึ้นของการปล่อยพลังงานของโลก (จากการที่มนุษย์เรใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือยโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่ตามมา) ส่วนรูปที่ 2 ด้านขวามือนั้นจะเป็นรูปของการลดลงของการปล่อยพลังงาน(จากการลดการใช้พลังงานต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น พลังงานเชื้อเพลิง เป็นต้น) โดยจะคิดเป็นค่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มขึ้นในทุก ๆ 10 ปี ตั้งแต่ปี 1995 จนถึงปี 2095 ว่าถ้าเกิดเรายังคงไม่ตระหนักถึงภาวะโลกร้อนแล้วโลกของเราจะเป็นเช่นไรในอนาคตข้างหน้า
Saturday, 5 December 2009
ความแตกต่างของนามสกุลรูปภาพ 2
ความแตกต่างของนามสกุลรูปภาพ
คุณสมบัติของนามสกุลไฟล์ภาพ
...เนื่องจากโปรแกรม Photoshop จะมีรูปแบบการบันทึกข้อมูลของภาพค่อนข้างหลากหลาย (รวมถึงโปรแกรมประเภทเดียวกัน)เพื่อใช้ในงานต่างๆกัน เพื่อนบางคนอาจยังไม่ทราบว่าเวลาที่เราบันทึก เราควรจะบันทึกใน Format ใดกันแน่ เดี๋ยววันนี้เราจะขออาสาพาท่านไปรู้จักกับชนิดไฟล์ที่คุณควรจะรู้ค่ะ
-Photoshop (.psd) นามสกุลแรกเป็นนามสกุลของโปรแกรม photoshop เอง มีประโยชน์สุดๆ เนื่องจากจะทำการบันทึกแบบแยกเลเยอร์เก็บเอาไว้ให้คุณแก้ไขได้ในภายหลัง จะใช้โปรแกรมอื่นเปิดไฟล์นี้มาแก้ไม่ได้ เราขอแนะนำให้คุณบันทึกไฟล์ในรูปแบบนี้เอาไว้ทุกครั้ง เผื่อเรียกแก้ไขยามฉุกเฉิน จะได้ไม่ต้องมานั่งทำใหม่อีก
-JPEG , JPG (.jpg) ถ้าหากคุณบันทึกในรูปแบบนี้ คุณภาพของภาพอยู่ในขั้นพอยอมรับได้ มีคุณสมบัติในการบีบอัดขนาดไฟล์ได้ ทำให้สามารถนำไปใช้งานบนเว็บไซท์ หรือ งานสิ่งพิมพ์ที่ไม่ได้เน้นคุณภาพของภาพมากนัก ลองดูตัวอย่างภาพด้านล่างเพื่อเปรียบเทียบ ฝั่งซ้ายมีขนาดประมาณ 12K ในขณะที่ฝั่งขวาถูกบีบอัดซะจนใบหน้าเริ่มเขียว อยู่ที่ 4K คุณจะสังเกตเห็นความหยาบกร้านมากขึ้น แต่ผลที่ได้คือความรวดเร็วในการเปิดรับชมที่ไวขึ้น
-BMP (.bmp) รูปแบบที่แสนคลาสสิค เป็นมาตราฐานของ Microsoft windows แสดงผลได้ 16.7 ล้านสี บันทึกได้ทั้งโหมด RGB, Index Color, Grayscale และ Bitmap สามารถเปิดใช้งานได้หลายโปรแกรม แต่คุณภาพจะสู้รูปแบบ JPEG ไม่ได้
-GIF (.gif) เป็นไฟล์ที่ถูกบีบอัดให้เล็กลง ใช้กับรูปภาพที่ไม่ได้เน้นรายละเอียดสีที่สมจริง ไม่เหมาะกับภาพถ่าย จะเหมาะกับภาพการ์ตูน ภาพแนว vector มากกว่า เนื่องจากมีการไล่ระดับเฉดสีเพียง 256 สี ทำให้มีความละเอียดไม่เพียงพอ แต่มีคุณสมบัติพิเศษคือ สร้างภาพเคลื่อนไหวได้ด้วย หรือที่เรียกกันว่า Gif Animation สรุปว่าเป็นไฟล์ที่เหมาะมากบนเว็บไซต์
-TIFF (.tif) นามสกุลที่มีความยืดหยุ่นและคุณภาพสูงสุดขีด บันทึกแบบ Cross-platform จัดเก็บภาพได้ทั้งโหมด Grayscale Index Color, RGB และ CMYK เปิดได้ทั้งบนเครื่อง Mac และ PC เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งในวงการสื่อสิ่งพิมพ์ เมื่อรู้เช่นนี้ หลายคนที่ยังมั่วนิ่มอยู่ ก็ลองพิจารณารูปแบบการบันทึกไฟล์ใหม่นะจ๊ะ
-EPS (.eps) นามสกุลที่ใช้เปิดในโปรแกรม Illustrator แต่สามารถบันทึกได้ในโปรแกรม Photoshop สนับสนุนการสร้าง Path หรือ Clipping Path บันทึกได้ทั้ง Vector แะ Rastor สนับสนุนโหมด Lab, CMYK, RGB, Index Color, Duotone และ Bitmap
-PICT (.pic) เป็นรูปแบบมาตราฐานในการบันทึกภาพแบบ 32 บิตของ Macintosh แสดงผลสีได้ระดับ 16.7 ล้านสี สามารถบีบอัดข้อมูลภาพได้เช่นกัน เพียงแต่สนับสนุนโหมด RGB เท่านั้นค่ะ
-PNG (.png) เป็นไฟล์ที่เหมาะสำหรับใช้ในเว็บไซท์ สามารถบีบอัดขนาดไฟล์ลงได้พอสมควร โดยที่ยังรักษาคุณภาพของภาพเอาไว้ได้ และที่สำคัญสามารถเลือกระดับสีใช้งานได้ถึง 16 ล้านสี มีการคาดกันว่าจะมาแทนที่ไฟล์ GIF ไม่ช้าก็เร็ว
- RAW (.raw) นามสกุลใหม่แต่โคตรดิบระห่ำจุดนรก เหมาะสำหรับภาพถ่ายจริงๆ ชื่อมันก็แปลตามตรงว่า "ดิบ" หมายถึงไม่มีการบีบอัดข้อมูลภาพใดๆเลยทั้งสิ้น รายละเอียดจึงยังครบถ้วน แต่ขนาดไฟล์ก็อลังการสุดๆเช่นกัน ปัจจุบันหาโปรแกรมมาเปิดไฟล์ชนิดนี้ยากอยู่ เพราะส่วนใหญ่จะแถมโปรแกรมมากับกล้องดิจิตอลที่สามารถบันทึกไฟล์ในรูปแบบ RAW ได้เท่านั้น
-Photoshop (.psd) นามสกุลแรกเป็นนามสกุลของโปรแกรม photoshop เอง มีประโยชน์สุดๆ เนื่องจากจะทำการบันทึกแบบแยกเลเยอร์เก็บเอาไว้ให้คุณแก้ไขได้ในภายหลัง จะใช้โปรแกรมอื่นเปิดไฟล์นี้มาแก้ไม่ได้ เราขอแนะนำให้คุณบันทึกไฟล์ในรูปแบบนี้เอาไว้ทุกครั้ง เผื่อเรียกแก้ไขยามฉุกเฉิน จะได้ไม่ต้องมานั่งทำใหม่อีก
-JPEG , JPG (.jpg) ถ้าหากคุณบันทึกในรูปแบบนี้ คุณภาพของภาพอยู่ในขั้นพอยอมรับได้ มีคุณสมบัติในการบีบอัดขนาดไฟล์ได้ ทำให้สามารถนำไปใช้งานบนเว็บไซท์ หรือ งานสิ่งพิมพ์ที่ไม่ได้เน้นคุณภาพของภาพมากนัก ลองดูตัวอย่างภาพด้านล่างเพื่อเปรียบเทียบ ฝั่งซ้ายมีขนาดประมาณ 12K ในขณะที่ฝั่งขวาถูกบีบอัดซะจนใบหน้าเริ่มเขียว อยู่ที่ 4K คุณจะสังเกตเห็นความหยาบกร้านมากขึ้น แต่ผลที่ได้คือความรวดเร็วในการเปิดรับชมที่ไวขึ้น
-BMP (.bmp) รูปแบบที่แสนคลาสสิค เป็นมาตราฐานของ Microsoft windows แสดงผลได้ 16.7 ล้านสี บันทึกได้ทั้งโหมด RGB, Index Color, Grayscale และ Bitmap สามารถเปิดใช้งานได้หลายโปรแกรม แต่คุณภาพจะสู้รูปแบบ JPEG ไม่ได้
-GIF (.gif) เป็นไฟล์ที่ถูกบีบอัดให้เล็กลง ใช้กับรูปภาพที่ไม่ได้เน้นรายละเอียดสีที่สมจริง ไม่เหมาะกับภาพถ่าย จะเหมาะกับภาพการ์ตูน ภาพแนว vector มากกว่า เนื่องจากมีการไล่ระดับเฉดสีเพียง 256 สี ทำให้มีความละเอียดไม่เพียงพอ แต่มีคุณสมบัติพิเศษคือ สร้างภาพเคลื่อนไหวได้ด้วย หรือที่เรียกกันว่า Gif Animation สรุปว่าเป็นไฟล์ที่เหมาะมากบนเว็บไซต์
-TIFF (.tif) นามสกุลที่มีความยืดหยุ่นและคุณภาพสูงสุดขีด บันทึกแบบ Cross-platform จัดเก็บภาพได้ทั้งโหมด Grayscale Index Color, RGB และ CMYK เปิดได้ทั้งบนเครื่อง Mac และ PC เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งในวงการสื่อสิ่งพิมพ์ เมื่อรู้เช่นนี้ หลายคนที่ยังมั่วนิ่มอยู่ ก็ลองพิจารณารูปแบบการบันทึกไฟล์ใหม่นะจ๊ะ
-EPS (.eps) นามสกุลที่ใช้เปิดในโปรแกรม Illustrator แต่สามารถบันทึกได้ในโปรแกรม Photoshop สนับสนุนการสร้าง Path หรือ Clipping Path บันทึกได้ทั้ง Vector แะ Rastor สนับสนุนโหมด Lab, CMYK, RGB, Index Color, Duotone และ Bitmap
-PICT (.pic) เป็นรูปแบบมาตราฐานในการบันทึกภาพแบบ 32 บิตของ Macintosh แสดงผลสีได้ระดับ 16.7 ล้านสี สามารถบีบอัดข้อมูลภาพได้เช่นกัน เพียงแต่สนับสนุนโหมด RGB เท่านั้นค่ะ
-PNG (.png) เป็นไฟล์ที่เหมาะสำหรับใช้ในเว็บไซท์ สามารถบีบอัดขนาดไฟล์ลงได้พอสมควร โดยที่ยังรักษาคุณภาพของภาพเอาไว้ได้ และที่สำคัญสามารถเลือกระดับสีใช้งานได้ถึง 16 ล้านสี มีการคาดกันว่าจะมาแทนที่ไฟล์ GIF ไม่ช้าก็เร็ว
- RAW (.raw) นามสกุลใหม่แต่โคตรดิบระห่ำจุดนรก เหมาะสำหรับภาพถ่ายจริงๆ ชื่อมันก็แปลตามตรงว่า "ดิบ" หมายถึงไม่มีการบีบอัดข้อมูลภาพใดๆเลยทั้งสิ้น รายละเอียดจึงยังครบถ้วน แต่ขนาดไฟล์ก็อลังการสุดๆเช่นกัน ปัจจุบันหาโปรแกรมมาเปิดไฟล์ชนิดนี้ยากอยู่ เพราะส่วนใหญ่จะแถมโปรแกรมมากับกล้องดิจิตอลที่สามารถบันทึกไฟล์ในรูปแบบ RAW ได้เท่านั้น
Friday, 4 December 2009
ความแตกต่างของนามสกุลรูปภาพ 1
ความแตกต่างของนามสกุลรูปภาพ
กราฟิกที่ใช้ในงานคอมพิวเตอร์ มี 2 ชนิด คือ Bitmap และ Vector
......กราฟิกแบบ Bitmap Bitmap เป็นภาพแบบ Resolution Dependent ประกอบขึ้นด้วยจุดสีต่างๆ ที่มีจำนวนคงที่ตายตัวตามการสร้างภาพที่มี Resolution หรือความละเอียดของภาพต่างกันไป หากขยายภาพ Bitmap จะเห็นว่ามีลักษณะเป็นตารางเล็กๆ ซึ่งแต่ละบิตคือ ส่วนหนึ่งของข้อมูลคอมพิวเตอร์ เนื่องจาก Bitmap มีค่า Pixel จำนวนคงที่จึงทำให้มีข้อจำกัดในเรื่องการขยายขนาดภาพ การเปลี่ยนขนาดภาพทำโดยเพิ่มหรือลด Pixel จากที่มีอยู่เดิม เมื่อขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น ความละเอียดของภาพจึงลดลง และถ้าเพิ่มค่าความละเอียดมากขึ้นก็จะทำให้ไฟล์มีขนาดใหญ่และเปลืองเนื้อที่ หน่วยความจำมากขึ้นตามไปด้วย ภาพที่ขยายโตขึ้นจะมองเห็นเป็นตารางสี่เหลี่ยมเรียงต่อกัน ทำให้ขาดความสวยงาม ภาพแบบ Bitmap จึงเหมาะสำหรับงานกราฟิกในแบบที่ต้องการให้แสงเงาในรายละเอียด เป็นไฟล์ที่เหมาะกับการทำงานกับภาพเหมือนจริงประเภทภาพถ่าย เพราะ Bitmap มี Channel พิเศษ เรียกว่า Alpha Channel ซึ่งเป็น 32 bit หรือ true color คือสีสมจริง เช่น ภาพที่นำมาใช้กับ PhotoShop จะเป็นภาพเหมือน ภาพถ่าย เพราะไฟล์ที่ได้จาก PhotoShop เป็น Bitmap ในขณะที่ไฟล์ที่สร้างจาก Illustrator จะเหมือนการ์ตูนหรือภาพเขียน เพราะเป็นไฟล์แบบ Vector นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับภาพที่ต้องการระบายสี สร้างสี หรือกำหนดสีที่ต้องการความละเอียดและสวยงาม ไฟล์ภาพแบบ Bitmap ในระบบวินโดวส์คือ ไฟล์ที่มีนามสกุล .BMP, .PCX. , .TIF, .GIF, .JPG, .MSP, .PCD เป็นต้น สำหรับโปรแกรมที่ใช้สร้างกราฟิกแบบนี้คือ โปรแกรม Paint ต่างๆ เช่น Paintbrush, PhotoShop, Photostyler เป็นต้น.......กราฟิกแบบ Vector Vector เป็นภาพประเภท Resolution-Independent มีลักษณะของการสร้างให้แต่ละส่วนเป็นอิสระต่อกัน โดยแยกชิ้นส่วนของภาพทั้งหมดออกเป็นเส้นตรง รูปทรงหรือส่วนโค้ง โดยอ้างอิงตามความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์หรือการคำนวณเป็นตัวสร้างภาพ เป็นการรวมเอา Object (เช่น วงกลม เส้นตรง ทรงกลม ลูกบาศก์และอื่นๆ เรียกว่ารูปทรงพื้นฐาน) ต่างชนิดมาผสมกัน มีทิศทางการลากเส้นไปในแนวต่างๆ เพื่อสร้างภาพที่แตกต่างกันโดยใช้คำสั่งง่ายๆ จึงเรียกภาพประเภทนี้ว่า Vector Graphic หรือ Object Oriented ลักษณะเด่นของ Vector คือ สามารถยืดหรือหดภาพเท่าใดก็ได้ โดยที่ภาพจะไม่แตก ความละเอียดของภาพไม่เปลี่ยนแปลง คงคุณภาพของภาพไว้ได้เหมือนเดิม และยังสามารถขยายเฉพาะความกว้างหรือความสูง เพื่อให้มองเห็นเป็นภาพผอมหรืออ้วนกว่าภาพเดิมได้ด้วย และไฟล์มีขนาดเล็กกว่าภาพ Bitmap ภาพแบบ Vector จึงเหมาะสำหรับงานแบบวาง Layout งานพิมพ์ตัวอักษร Line Art หรือ Illustration ไฟล์รูปภาพแบบ Vector ในระบบวินโดวส์คือ ไฟล์ที่มีนามสกุล .EPD, .WMF, .CDR, .AI, .CGM, .DRW, .PLT เป็นต้น โดยมีโปรแกรมประเภทวาดรูป (Drawing Program) เช่น CorelDraw หรือ AutoCAD เป็นโปรแกรมสร้าง ขณะที่บนแมคอินทอชใช้ Illustrator และ Freehand ในกรณีที่โปรแกรมที่ใช้งานอยู่ไม่สามารถอ่านไฟล์แบบ Vector ต้นฉบับได้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือ บันทึกไฟล์เป็นนามสกุล .EPS (Encapsulated Postscript) ไฟล์ประเภทนี้สร้างขึ้นจาก Vector ซึ่งทำให้มีคุณสมบัติเป็นแบบ Vector นอกจากนี้เราสามารถบันทึกไฟล์ Bitmap ให้เป็นแบบ EPS ได้ เนื่องจากโปรแกรมกราฟิกทุกประเภทล้วนสนับสนุน ไฟล์แบบ EPS ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามอุปกรณ์แสดงผล ไม่ว่าจะเป็นเครื่องพิมพ์แบบ Dot Matrix หรือ Laser รวมทั้งจอภาพ จะแสดงผลแบบ Raster Devices หรือแสดงผลในรูปของ Bitmap โดยอาศัยการรวมกันของ Pixel ออกมาเป็นรูป แม้ว่าภาพกราฟิกที่สร้างจะเป็นแบบ Vector เมื่อจะพิมพ์หรือแสดงภาพบนหน้าจอจะมีการเปลี่ยนเป็นการแสดงผลแบบ Bitmap หรือเป็น Pixel
ความแตกต่างระหว่างกราฟิกแบบ Bitmap และ Vector
Bitmap1. ลักษณะภาพประกอบขึ้นด้วยจุดต่างๆ มากมาย
2. ภาพมีจำนวนพิกเซลคงที่จึงต้องการค่าความละเอียดมากขึ้นเมื่อขยายภาพ โดยจะคำนวณค่าสีทีละ pixels ทำให้ภาพแตกเมื่อขยายภาพให้ใหญ่
3. เหมาะสำหรับงานกราฟิก ในแบบต้องการให้แสงเงาในรายละเอียด
4. แสดงภาพบนจอทันที เมื่อรับคำสั่งย้ายข้อมูลจากหน่วยความจำที่เก็บภาพไปยังหน่วยความจำของจอภาพ
Vector
1. ใช้สมการทางคณิตศาสตร์เป็นตัวสร้างภาพ โดยรวมเอา Object (เช่น วงกลม เส้นตรง) ต่างชนิดมาผสมกัน
2. สามารถย่อและขยายขนาดได้มากกว่า โดยสัดส่วนและลักษณะของภาพยังเหมือนเดิม ความละเอียดของภาพไม่เปลี่ยนแปลง
3. เหมาะสำหรับงานแบบวาง Layout งานพิมพ์ตัวอักษร Line Art หรือ Illustration
4. คอมพิวเตอร์จะใช้เวลาในการแสดงภาพมากกว่า เนื่องจากต้องทำตามคำสั่งที่มีจำนวนมากกว่า
ลักษณะและความหมายของ Pixel
................ในโลกของกราฟิกที่ใช้ในงานคอมพิวเตอร์ Pixel ถือเป็นหน่วยย่อยที่เล็กที่สุดของรูปภาพ เป็นจุดเล็กๆ ที่รวมกันทำให้เกิดภาพขึ้น ภาพหนึ่งจะประกอบด้วย Pixel หรือจุดมากมาย ซึ่งแต่ละภาพที่สร้างขึ้นจะมีความหนาแน่นของจุดหนือ Pixel เหล่านี้แตกต่างกันไป ความหนาแน่นของจุดนี้เป็นตัวบอกถึงความละเอียดของภาพ โดยมีหน่วยเป็น ppi (Pixel Per Inch) คือ จำนวนจุดต่อนิ้ว Pixel มีความสำคัญต่อการสร้างภาพของคอมพิวเตอร์มาก เพราะทุกส่วนของกราฟิก เช่น จุด เส้น แบบลายและสีของภาพนั้นเริ่มจาก Pixel ทั้งสิ้น เมื่อเราขยายภาพจะเห็นเป็นภาพจุด................โดยปกติแล้ว ภาพที่มีความละเอียดสูงหรือคุณภาพดีควรจะมีค่าความละเอียด 300 X 300 ppi ขึ้นไป ยิ่งค่า ppi สูงขึ้นเท่าไร ภาพก็จะมีความละเอียดคมชัดขึ้นมากขึ้นเท่านั้น ขณะเดียวกันจุดหรือ Pixel แต่ละจุดก็จะแสดงคุณสมบัติทางสีให้แก่ภาพด้วย โดยแต่ละจุดจะเป็นตัวสร้างสีประกอบกันเป็นภาพรวม ซึ่งอาจมีขนาดความเข้มและสีแตกต่างกันได้ ทำให้เกิดเป็นภาพที่มีสีสันต่างๆ
................การแสดงผลของอุปกรณ์แสดงผล (Output Devices) ไม่ว่าจะเป็นเครื่องพิมพ์แบบ Dot-matrix หรือแบบ Laser รวมทั้งจอภาพ จะเป็นการแสดงผลแบบ Raster Devices นั่นคือ อาศัยการรวมกันของ Pixel ออกมาเป็นรูป
Monday, 30 November 2009
WMS
WMS web mapping servics บริการข้อมูลแผนที่ผ่านทาง web
ในการบริการข้อมูลแผนที่ผ่านทาง web หรือ OGC Web Service (OWS) จะประกอบด้วย-Web Mapping Service (WMS) คือส่วนที่ให้บริการข้อมูลในส่วนของข้อมูลภาพ อันได้แก่ภาพถ่ายดาวเทียมภาพถ่ายทางอากาศ หรือการให้บริการข้อมูลภูมิสารสนเทศภูมิศาสตร์ ทั้งในรูปแบบ vector และ raster ในรูปแบบของภาพแบบ JPEG หรือ PNG ฯลฯ แล้วจึงนำออก web
-Web Feature Service (WFS) คือส่วนที่ให้บริการข้อมูลในส่วนของข้อมูลที่เป็น Vector
แต่ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีก็คือ เทคโนโลยี WMS นี่แหละ ไม่ว่าจะเป็น การใช้ UMN Mapserver หรือ Google Maps ฯลฯ ล้วนแต่แสดงภาพข้อมูลแผนที่ออกมาในลักษณะ WMS
ขณะที่ เทคโนโลยี WFS ที่เป็นมาตรฐานจะส่งออกข้อมูลแผนที่ที่เป็น Vector มาในรูปแบบของ GMLแนวทาง WMS นั้นปัจจุบัน หลายๆที่ เราสามารถจะดึงข้อมูลจาก web server ของเขาเข้ามาร่วมแสดงผลกับ การประยุกต์ใช้งานของเรา
กล่าวคือ ถ้าจะสร้างระบบข้อมูลแผนที่ขึ้นมาแสดงใน web เราสามารถจะนำข้อมูลที่เป็น Free WMS มาแสดงร่วมกับข้อมูลของเราได้ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมข้อมูล ลดแรงพลังงานของเครื่อง web server ลงไปแยะ
เป็นประโยชน์มากใช่ไหมคะ แล้วเราจะหา Free WMS ได้จากที่ไหนล่ะคะ นี่คือคำถาม ก็ขอตอบได้เลยว่า ไปที่ http://www.skylab-mobilesystems.com/en/wms_serverlist.html จะเห็นได้ว่า มี Free WMS อยู่มากมาย
ส่วนด้านการพัฒนา ก็มีสองแนวทาง แนวทางของ ภาษา C/C++ เช่น พวก UMN Mapserver หรือแนวทาง ของภาษา JAVA เช่น Geotools Openlayers ส่วนพวกที่ผสานความเด่นของทั้งสองแนวทางน่าจะเป็น Ka-map นี่แหละคะ
หรือถ้าต้องการให้ใช้งานแบบ Stand alone แนวทางในตอนนี้ ก็เห็น จะมี QGIS หรือ Quantum GIS ( http://download.qgis.org/qgis/ )ที่น่าสนใจมาก เพราะสามารถใช้งานร่วมกับ ข้อมูลที่อยู่ในเครื่องของเรา ข้อมูลที่เป็น WMS ที่อยู่ใน internet หรือแม้กระทั่งข้อมูลที่เป็น Object Database อย่าง Postgres ได้ค่ะ
Friday, 27 November 2009
เรามารู้จัก PHP กันดีกว่า...3
เมื่อวานเราก็ได้คุยกันไปในเรื่องของหลักการทำงานของ php กันแล้วนะคะสำหรับวันนี้เรามาทำความรู้จักกับประวิตความเป็นมาของ php กันหน่อยดีกว่ามั้ยคะ
PHP ได้รับการเผยแพร่เป็นครั้งแรกในปีค.ศ.1994 จากนั้นก็มีการพัฒนาต่อมาตามลำดับ เป็นเวอร์ชั่น 1 ในปี 1995 เวอร์ชั่น 2 (ตอนนั้นใช้ชื่อว่า PHP/FI) ในช่วงระหว่าง 1995-1997 และเวอร์ชั่น 3 ช่วง 1997 ถึง 1999 จนถึงเวอร์ชั่น 4 ในปัจจุบัน
PHP เป็นผลงานที่เติบโตมาจากกลุ่มของนักพัฒนาในเชิงเปิดเผยรหัสต้นฉบับ หรือ OpenSource ดังนั้น PHP จึงมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และแพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับ Apache Webserver ระบบปฏิบัติอย่างเช่น Linux หรือ FreeBSD เป็นต้น ในปัจจุบัน PHP สามารถใช้ร่วมกับ Web Server หลายๆตัวบนระบบปฏิบัติการอย่างเช่น Windows 95/98/NT เป็นต้น
รายชื่อของนักพัฒนาภาษา PHP ที่เป็นแก่นสำคัญในปัจจุบันมีดังต่อไปนี้
-Zeev Suraski, Israel
-Andi Gutmans, Israel
-Shane Caraveo, Florida USA
-Stig Bakken, Norway
-Andrey Zmievski, Nebraska USA
-Sascha Schumann, Dortmund, Germany
-Thies C. Arntzen, Hamburg, Germany
-Jim Winstead, Los Angeles, USA
-Rasmus Lerdorf, North Carolina, USA
เนื่องจากว่า PHP ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตัว Web Server ดังนั้นถ้าจะใช้ PHP ก็จะต้องดูก่อนว่า Web server นั้นสามารถใช้สคริปต์ PHP ได้หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น PHP สามารถใช้ได้กับ Apache WebServer และ Personal Web Server (PWP) สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows 95/98/NT
ในกรณีของ Apache เราสามารถใช้ PHP ได้สองรูปแบบคือ ในลักษณะของ CGI และ Apache Module ความแตกต่างอยู่ตรงที่ว่า ถ้าใช้ PHP เป็นแบบโมดูล PHP จะเป็นส่วนหนึ่งของ Apache หรือเป็นส่วนขยายในการทำงานนั่นเอง ซึ่งจะทำงานได้เร็วกว่าแบบที่เป็น CGI เพราะว่า ถ้าเป็น CGI แล้ว ตัวแปลชุดคำสั่งของ PHP ถือว่าเป็นแค่โปรแกรมภายนอก ซึ่ง Apache จะต้องเรียกขึ้นมาทำงานทุกครั้ง ที่ต้องการใช้ PHP ดังนั้น ถ้ามองในเรื่องของประสิทธิ ภาพในการทำงาน การใช้ PHP แบบที่เป็นโมดูลหนึ่งของ Apache จะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า
สำหรับเรื่องราวของ php ก็ขอจบลงในภาค 3 นี้ก่อนก็แล้วกันนะคะ สำหรับใครที่สนใจอยากศึกษาเรื่องราวของ php เพิ่มเติมก็สามรถศึกษาได้จากที่นี่นะคะ http://202.28.94.55/webclass/pub-lesson.cs?storyid=8 ขอบคุณค่า..
ประวัติของ PHP
PHP ได้รับการเผยแพร่เป็นครั้งแรกในปีค.ศ.1994 จากนั้นก็มีการพัฒนาต่อมาตามลำดับ เป็นเวอร์ชั่น 1 ในปี 1995 เวอร์ชั่น 2 (ตอนนั้นใช้ชื่อว่า PHP/FI) ในช่วงระหว่าง 1995-1997 และเวอร์ชั่น 3 ช่วง 1997 ถึง 1999 จนถึงเวอร์ชั่น 4 ในปัจจุบัน
PHP เป็นผลงานที่เติบโตมาจากกลุ่มของนักพัฒนาในเชิงเปิดเผยรหัสต้นฉบับ หรือ OpenSource ดังนั้น PHP จึงมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และแพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับ Apache Webserver ระบบปฏิบัติอย่างเช่น Linux หรือ FreeBSD เป็นต้น ในปัจจุบัน PHP สามารถใช้ร่วมกับ Web Server หลายๆตัวบนระบบปฏิบัติการอย่างเช่น Windows 95/98/NT เป็นต้น
รายชื่อของนักพัฒนาภาษา PHP ที่เป็นแก่นสำคัญในปัจจุบันมีดังต่อไปนี้
-Zeev Suraski, Israel
-Andi Gutmans, Israel
-Shane Caraveo, Florida USA
-Stig Bakken, Norway
-Andrey Zmievski, Nebraska USA
-Sascha Schumann, Dortmund, Germany
-Thies C. Arntzen, Hamburg, Germany
-Jim Winstead, Los Angeles, USA
-Rasmus Lerdorf, North Carolina, USA
เนื่องจากว่า PHP ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตัว Web Server ดังนั้นถ้าจะใช้ PHP ก็จะต้องดูก่อนว่า Web server นั้นสามารถใช้สคริปต์ PHP ได้หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น PHP สามารถใช้ได้กับ Apache WebServer และ Personal Web Server (PWP) สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows 95/98/NT
ในกรณีของ Apache เราสามารถใช้ PHP ได้สองรูปแบบคือ ในลักษณะของ CGI และ Apache Module ความแตกต่างอยู่ตรงที่ว่า ถ้าใช้ PHP เป็นแบบโมดูล PHP จะเป็นส่วนหนึ่งของ Apache หรือเป็นส่วนขยายในการทำงานนั่นเอง ซึ่งจะทำงานได้เร็วกว่าแบบที่เป็น CGI เพราะว่า ถ้าเป็น CGI แล้ว ตัวแปลชุดคำสั่งของ PHP ถือว่าเป็นแค่โปรแกรมภายนอก ซึ่ง Apache จะต้องเรียกขึ้นมาทำงานทุกครั้ง ที่ต้องการใช้ PHP ดังนั้น ถ้ามองในเรื่องของประสิทธิ ภาพในการทำงาน การใช้ PHP แบบที่เป็นโมดูลหนึ่งของ Apache จะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า
สำหรับเรื่องราวของ php ก็ขอจบลงในภาค 3 นี้ก่อนก็แล้วกันนะคะ สำหรับใครที่สนใจอยากศึกษาเรื่องราวของ php เพิ่มเติมก็สามรถศึกษาได้จากที่นี่นะคะ http://202.28.94.55/webclass/pub-lesson.cs?storyid=8 ขอบคุณค่า..
ส่งการบ้าน ปฏิบัติการที่ 4
ปฏิบัติการที่ 4
ข้อ 6. จากประสบกาณ์ที่นิสิตเคยเรียนมาในรายวิชาการเขียนโปรแกรมต่าง ๆ นิสิตคิดว่าตัวดำเนินการทั้งสองลักษณะมักจะใช้ในสถานการณ์ใดตอบ....มักจะใช้ช่วยในการคำนวณค่าและประมวลผลในเรื่องต่าง ๆให้ง่ายยิ่งขึ้น เช่น โปรแกรมเครื่องคิดเลข โปรเกรมการคิดเกรด (ตัดเกรด) โปรแกรมการคำนวณเงินหรือว่าอัตราจ้าง เป็นต้น ซึ่งจะประมวลค่าที่เราเพิ่มเข้าไปทั้งในรูปแบบตัวเลขหรือว่าเป็นแบบรหัส ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะได้ผลลัพธ์ทั้งจริงและเท็จ ซึ่งเราสามารถที่จะตรวจสอบและเข้าไปแก้ไขได้
ข้อ 9.
ข้อ 12.
ข้อ 15.
Thursday, 26 November 2009
เรามารู้จัก PHP กันดีกว่า...2
เมื่อวานได้พูดถึง php คืออะไรกันแล้ววันนีเรามาดูหลักการทำงานของ php กันบ้างนะคะ
โปรแกรมภาษา PHP จะทำหน้าที่ในการสร้างเอกสารสำหรับเวบ โดยภาษา PHP จะเขียนแทรกอยู่ในไฟล์ ที่มีส่วนขยายเป็น .php เช่นไฟล์ test.php
เราจะต้องบันทึกไฟล์นี้ไว้ในเครื่อง Web Server ที่มีการติดตั้งโปรแกรมแปลภาษา PHP เมื่อเราเปิด Web Browser ไปที่ไฟล์ test.php โปรแกรมแปลภาษา php ก็จะทำการแปลคำสั่ง โดยจะแปลเฉพาะคำสั่งที่อยู่ระหว่าง เครื่องหมาย สร้างเป็นผลลัพธ์ออกมา เป็น
หลักการทำงาน
โปรแกรมภาษา PHP จะทำหน้าที่ในการสร้างเอกสารสำหรับเวบ โดยภาษา PHP จะเขียนแทรกอยู่ในไฟล์ ที่มีส่วนขยายเป็น .php เช่นไฟล์ test.php
เราจะต้องบันทึกไฟล์นี้ไว้ในเครื่อง Web Server ที่มีการติดตั้งโปรแกรมแปลภาษา PHP เมื่อเราเปิด Web Browser ไปที่ไฟล์ test.php โปรแกรมแปลภาษา php ก็จะทำการแปลคำสั่ง โดยจะแปลเฉพาะคำสั่งที่อยู่ระหว่าง เครื่องหมาย สร้างเป็นผลลัพธ์ออกมา เป็น
จะเห็นว่าส่วนที่อยู่นอกเครื่องหมาย นั้น จะมีค่าเหมือนเดิม
เอาหละค่ะ อันนี้เป็นเพียงหลักการคร่าว ๆ ของ php นะคะ ส่วนพรุ่งนี้เรามาupdate กันในเรื่องของประวัติของ php กันนะคะว่ะมีความเป็นมาอย่างไร รอติดตามกันนะคะ
เรามารู้จัก PHP กันดีกว่า...
PHP คืออะไร
ภาษา PHP เป็นภาษาโปรแกรมภาษาหนึ่ง ที่ใช้เขียนแทรกไว้ภายในเอกสาร ภาษาอื่น เช่น เขียนแทรก PHP ไว้ภายใน ภาษา HTML เพื่อทำให้สามารถประมวลผลเพื่อสร้างเนื้อหาได้แบบไดนามิก ในอดีตโดยเป้าหมายหลักของ PHP คือ เป็นภาษาที่ใช้ในการพัฒนาเวบ (HTML) เท่านั้น แต่ในปัจจุบัน PHP ได้พัฒนาความสามารถมากขึ้น จนสามารถสร้างเอกสารไม่ไช่ HTML เช่น การสร้าง ภาพกราฟฟิก , สร้างเอกสาร PDF, สร้างภาพเคลื่อนไหวแบบ Flash จนถึงมีการนำ PHP มาใช้ในการพัฒนาโปรแกรมที่ทำงานเป็น Application คล้ายกับ VB หรือ Delphi ที่ทำได้
PHP เป็นภาษาแบบ Script Language การประมวลผลโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา PHP จึงจำเป็นต้องติดตั้งตัวแปลภาษา PHP ก่อน ซึ่งสามารถ Download และ ติดตั้งใช้งานได้ฟรี สำหรับตัวแปลภาษาของ PHP นั้นจะพัฒนาด้วยภาษาซี (C) คำสั่งภายในของ PHP จะถูกพัฒนาด้วยภาษา C เกือบทั้งหมด ดังนั้น ซึ่งโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา PHP จะไปเรียกใช้คำสั่งเหล่านั้น ทำให้โปรแกรมภาษา PHP ที่ถึงจะเป็นภาษา Script แต่ก็สามารถประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว ไม่แพ้การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาอื่น นอกจากนี้ เกือบทุกระบบปฏิบัติการที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถติดตั้ง ตัวแปลภาษา PHP ได้ ทำให้โปรแกรมที่สร้างด้วยภาษา PHP สามารถทำงานได้บนทุกระบบ โดยแทบไม่ต้องแก้ไข เช่น คุณสามารถพัฒนาโปรแกรม PHP บน Windows แล้ว นำไปติดตั้งบน Linux ได้เลย
การเขียนโปรแกรม PHP ถูกออกแบบให้เขียนแทรกภายในเอกสาร HTML เพื่อใช้สร้างเวบเพจ ดังตัวอย่าง
อ๊ะอ้าว...อยากรู้หละสิว่าไอ้เจ้า php เนี่ย มันมีหลักการทำงานอย่างไร งั้นเอาไว้พรุ่งนี้ก็แล้วก็เนอะ เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังกันใหม่
สำหรับวันนี้ก็ขอจบเรื่องราวเกี่ยวกับ php ไว้เท่านี้ก่อนนะคะ ขอบคุณค่า
Friday, 20 November 2009
การชุมนุมของจานดาวเทียม
Saturday, 14 November 2009
มาดูฝนดาวตกกัน
ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนของทุกปี จะเกิดปรากฏการณ์ ฝนดาวตกลีโอนิดส์ (Leonid Meteor shower) หรือ ฝนดาวตกกลุ่มดาวสิงโต ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า ศูนย์กลางการกระจายของฝนดาวตกอยู่บริเวณตำแหน่งหัวของสิงโต มีลักษณะเป็นริ้วสีขาวพาดผ่านท้องฟ้า และเกิดลูกไฟควบคู่กันไปด้วย ซึ่งเกิดจากเศษซากหลงเหลือของ "ดาวหาง 55พี เทมเพล-ทัตเทิล" มีวงโคจรรอบ "ดวงอาทิตย์" เป็นวงรี โดยหนึ่งรอบใช้เวลา 33.2 ปี และทุก ๆ 33 ปี ดาวหางดวงนี้จะโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด ทำให้เกิดฝนดาวตกมากเป็นพิเศษ เรียกว่า "พายุฝนดาวตก" (Meteor Storm) ซึ่งการโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 และจะเข้าใกล้ครั้งต่อไปในวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2556
สำหรับ "ฝนดาวตกลีโอนิดส์" สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากพื้นโลกมากบ้างน้อยบ้าง โดยปีที่มองเห็นสูงสุดต้องย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2541 และ 2544 แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับในปี 2552 นักดาราศาสตร์พยากรณ์ว่า คนไทยทั่วทุกพื้นที่ของประเทศจะมีโอกาสชม ฝนดาวตกลีโอนิดส์ นับร้อยดวงแบบชัด ๆ อีกครั้ง ตั้งแต่ช่วงเที่ยงคืนของวันที่ 17 ต่อเนื่องไปจนถึงรุ่งเช้า 18 พฤศจิกายน เหตุเพราะเวลาเกิดปรากฏการณ์ตรงกับ "คืนเดือนมืด" พอดิบพอดี
สำหรับ "ฝนดาวตกลีโอนิดส์" สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากพื้นโลกมากบ้างน้อยบ้าง โดยปีที่มองเห็นสูงสุดต้องย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2541 และ 2544 แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับในปี 2552 นักดาราศาสตร์พยากรณ์ว่า คนไทยทั่วทุกพื้นที่ของประเทศจะมีโอกาสชม ฝนดาวตกลีโอนิดส์ นับร้อยดวงแบบชัด ๆ อีกครั้ง ตั้งแต่ช่วงเที่ยงคืนของวันที่ 17 ต่อเนื่องไปจนถึงรุ่งเช้า 18 พฤศจิกายน เหตุเพราะเวลาเกิดปรากฏการณ์ตรงกับ "คืนเดือนมืด" พอดิบพอดี
โดยช่วงเวลาที่คาดว่าจะมองเห็น ฝนดาวตก ปะทะโลกสูงสุดในประเทศไทยมี 2 ช่วง คือในเวลา 04.43 น. และในเวลา 04.50 น. ของเช้าวันพุธที่ 18 พฤศจิกายน 2552 ซึ่งจะเป็นได้มากกว่า 100 ดวงต่อชั่วโมง แต่ถ้าโชคดีชาวโลกอาจได้เห็น ฝนดาวตกลีโอนิดส์ ร่วม ๆ 500 ดวง พุ่งสว่างวาบบนฟากฟ้า แต่ประเทศไทยจะเริ่มสังเกตได้ตั้งแต่คืนวันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน 2552 โดยเริ่มในเวลาประมาณ 00:30 น. (เข้าสู่วันที่ 18) และหลังจากนั้นจึงลดลงและสิ้นสุดในราววันที่ 21 พฤศจิกายน
"นับเป็นความโชคดีที่จะได้ชมปรากฏ การณ์ฝนดาวตกในปีนี้ เนื่องจากวันที่ 17-18 พฤศจิกายน เป็นคืนเดือนมืด ท้องฟ้าค่อนข้างมืดสนิท แต่เหตุการณ์ฝนดาวตกช่วงที่ตกมากนั้นค่อนข้างสั้น และเกิดก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้น 1 ชั่วโมงเท่านั้น ส่วนการถ่ายภาพควรตั้งความไวแสง ISO 400-800 ถ้าใช้กล้องสองตาควรมีหน้าเลนส์ไม่ต่ำกว่า 50 มิลลิเมตร และกำลังขยาย 7 เท่าขึ้นไป" ประณิตา เสพปันคำ เจ้าหน้าที่สำนักบริการวิชาการและสื่อสารทางดาราศาสตร์ สดร. ระบุ
สถานที่ที่เหมาะสมกับการดู ฝนดาวตก ถ้าจะให้ดีควรเป็นจุดที่ไม่มีแสงไฟรบกวน หรือห่างจากเมืองใหญ่ไม่น้อยกว่า 100 กิโลเมตร หันหน้าไปทางดาวเหนือ ซึ่งสถานที่ที่สามารถไปชมปรากฎการณ์ ฝนดาวตก นี้ได้แบบอิงแอบธรรมชาติ ได้แก่...
สถานที่ที่เหมาะสมกับการดู ฝนดาวตก ถ้าจะให้ดีควรเป็นจุดที่ไม่มีแสงไฟรบกวน หรือห่างจากเมืองใหญ่ไม่น้อยกว่า 100 กิโลเมตร หันหน้าไปทางดาวเหนือ ซึ่งสถานที่ที่สามารถไปชมปรากฎการณ์ ฝนดาวตก นี้ได้แบบอิงแอบธรรมชาติ ได้แก่...
จังหวัดเพชรบูรณ์ ณ ลานชมดาวอุทยานแห่งชาติตากหมอก, ภูทับเบิก, เขาค้อ, อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว และบริเวณลานดูดาว อุทยานแห่งชาติตาดหมอก ในคืนวันที่17 พฤศจิกายน ต่อเนื่องถึงเช้ามืดวันที่ 18 พฤศจิกายน
จังหวัดปราจีนบุรี ณ อุทยานเขาอีโต้ เหนือสันเขื่อนเก็บน้ำจักรพงษ์ ติดกับสนามแข่งจักรยานเสือภูเขา ตำบลบ้านพระ ตั้งแต่เวลา 00.00 น. ของวันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน ต่อเช้ามืดของวันพุธที่ 18 พฤศจิกายน 2552
จังหวัดลพบุรี ณ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และแหล่งท่องเที่ยวอ่างซับเหล็ก ในวันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน ต่อเช้ามืดของวันพุธที่ 18 พฤศจิกายน 2552 เนื่องจากเป็นที่โล่ง กว้าง ไม่มีแสงไฟรบกวน และยังมีการตั้งกล้องดูดาวอยู่ที่วัดเขาจีนแล (วัดเวฬุวัน) ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา ห่างจากอ่างซับเหล็กประมาณ 2 กิโลเมตร นอกจากนั้น ยังเป็นช่วงเดียวกับดอกทานตะวันที่กำลังบานเต็มทุ่งอยู่สองข้างทาง โดยเฉพาะบริเวณหลังอ่างซับเหล็ก หรือบริเวณวัดเขาตะกร้า เช่นเดียวกับเส้นทางมุ่งสู่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ก็มีดอกทานตะวันบานแล้วหลายทุ่งเช่นกัน
จังหวัดอุบลราชธานี โดยศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาอุบลราชธานี ขอเชิญชวนชมฝนดาวตกลีโอนิดส์ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2552 นี้ โดยฝนดาวตก ลีโอนิดส์เห็นได้ 2 ช่วง คือวันที่ 16 - 17 และ 18 - 19 เห็นได้เฉลี่ยชั่วโมงละ 10 - 20 ดวง
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จัดมหกรรมดาราศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ที่วิทยาลัยการอาชีพวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน ในวันที่ 16-17 พฤศจิกายน 2552 โดยจัดกิจกรรมนิทรรศการต่าง ๆ มากมาย เช่น 400 ปีแห่งการค้นพบทางดาราศาสตร์ วิวัฒนาการกล้องโทรทรรศน์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นิทรรศการภาพถ่ายทางดาราศาสตร์โดยฝีมือคนไทย นอกจากนี้ กิจกรรมสาธิตการประกอบนาฬิกาแดด การประกวดวาดภาพทางดาราศาสตร์ และโดยเฉพาะในคืนวันที่ 17 พฤศจิกายน จะมีกิจกรรมให้ประชาชนได้เฝ้าสังเกตปรากฏการณ์ฝนดาวตกลีโอนิสต์ จนถึงช่วงเช้าของวันที่ 18 พฤศจิกายนนี้
อย่างไรก็ตาม สำหรับในภูมิภาคต่าง ๆ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) ได้ร่วมมือกับหน่วยงาน และมหาวิทยาลัยเครือข่ายทั่วประเทศ จัดกิจกรรมติดตาม "ฝนดาวตกลีโอนิดส์" หลายแห่ง เช่น... ภาคกลาง : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ภาคตะวันออก : อ่างเก็บน้ำจักรพงษ์ อ.เมือง จ. ปราจีนบุรี, โรงเรียนชลราษฎรอำรุง อ.เมือง จ. ชลบุรี, โรงเรียน เบญจมราชรังสฤษฏิ์ อ.เมือง และโรงเรียนไผ่แก้ววิทยา อ.แปลงยาว จ. ฉะเชิงเทรา
ภาคเหนือ : มหาวิทยาลัยนเรศวร, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, มหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี, มหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา และมหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี
ภาคใต้ : มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ , มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลา และมหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต
สำหรับข้าพเจ้าก็คงจะไปดูฝนดาวตกกับเพื่อนๆ ของข้าพเจ้า ที่ภูหินฯ ล่ะก้า ไปด้วยกันบ่?
ขอขอบคุณข้อมูลจาก kapook.com นะคะ
Subscribe to:
Posts (Atom)